Published May 29, 2025 ⦁ 5 min read

เรียนรู้ 5 ขั้นตอนเพิ่ม ROI จากการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์สำหรับธุรกิจ SME ในไทย เพื่อให้แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงสุด.

5 ขั้นตอนเพิ่ม ROI ด้วยอินฟลูเอนเซอร์

5 ขั้นตอนเพิ่ม ROI ด้วยอินฟลูเอนเซอร์

ถ้าคุณต้องการเพิ่ม ROI จากการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ นี่คือ 5 ขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ SME ในไทยประสบความสำเร็จได้จริง:

  1. กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน:
    ตั้งเป้าหมายแบบ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-sensitive) เช่น เพิ่มยอดขาย 15% ใน 3 เดือน พร้อมเลือกตัวชี้วัดที่เน้น ROI เช่น ยอดขายหรือการแปลงลูกค้า
  2. เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม:
    ใช้ Nano หรือ Micro Influencers ที่มีอัตราการมีส่วนร่วมสูง (เช่น 5.8%) และตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลลัพธ์
  3. สร้างเนื้อหาที่สร้างผลกระทบสูง:
    ปรับเนื้อหาให้เหมาะกับ Customer Journey เช่น วิดีโอรีวิวสินค้าในช่วง Awareness หรือโปรโมทรหัสส่วนลดในช่วง Decision
  4. ติดตามผลงานและปรับปรุง:
    ใช้เครื่องมือ เช่น UTM Parameters หรือรหัสส่วนลดเฉพาะ เพื่อติดตามผลลัพธ์และปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
  5. ขยายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ:
    สร้างความร่วมมือระยะยาวกับอินฟลูเอนเซอร์ที่ให้ผลลัพธ์ดี เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความน่าเชื่อถือในระยะยาว

Quick Tip:
Nano Influencers เหมาะสำหรับงบประมาณจำกัดและการสร้างความไว้วางใจ ขณะที่ Macro Influencers เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง

ประเภทอินฟลูเอนเซอร์ จำนวนผู้ติดตาม อัตราการมีส่วนร่วม (เฉลี่ย) ค่าตอบแทนต่อโพสต์
Nano 500–10,000 4.39% 330–3,300 บาท
Micro 10,000–50,000 6% 3,300–16,500 บาท
Macro 50,000–500,000 1.3% 16,500–165,000 บาท

เริ่มต้นด้วยการวางแผนที่ชัดเจนและเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่ม ROI ของคุณได้ทันที!

Influencer Marketing EP.10 เลือก Metrics วัดผลการตลาดดิจิทัลอย่างไรให้เชื่อมโยงกลยุทธ์ตอบโจทย์ธุรกิจ

ขั้นตอนที่ 1: กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน

การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับการเพิ่ม ROI ในการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ งานวิจัยเผยว่านักการตลาดที่มีเป้าหมายชัดเจนมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าถึง 4 เท่า การกำหนดเป้าหมายที่ดีช่วยให้ SME วางแผนแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความรับผิดชอบ และบริหารความคาดหวังได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ใช้งบประมาณได้คุ้มค่าและได้ผลตอบแทนสูงขึ้น

จับคู่เป้าหมายแคมเปญกับเป้าหมายทางธุรกิจ

การปรับเป้าหมายของแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ธุรกิจ SME ควรเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถามว่าอยากได้อะไรจากการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ เช่น เพิ่มการรับรู้แบรนด์, ดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์, สร้างลีด หรือเพิ่มยอดขาย

ข้อมูลล่าสุดระบุว่า การสร้างการรับรู้แบรนด์จะเป็นเป้าหมายหลักของแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม การเลือกเป้าหมายควรพิจารณาจากลำดับความสำคัญของธุรกิจ

การใช้กรอบ SMART (Specific, Measurable, Achievable, Relevant, Time-sensitive) ช่วยให้เป้าหมายมีความชัดเจนและวัดผลได้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า "เพิ่มยอดขาย" ควรระบุให้ชัดเจนว่า "เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์ A ให้ได้ 15% ภายใน 3 เดือน ผ่านแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์บน Instagram"

การทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ในการวางแผนและพัฒนาไอเดียยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้น การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นจะช่วยให้แคมเปญมีทิศทางและประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น

เลือกตัวชี้วัดที่เน้น ROI

การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการประเมินผลแคมเปญ ธุรกิจ SME ควรโฟกัสไปที่ตัวชี้วัดที่สอดคล้องกับเป้าหมายการตลาด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพและ ROI ได้อย่างแม่นยำ

"To measure the ROI of influencer marketing, businesses should define clear goals, track engagement metrics, measure conversions, use unique tracking codes and calculate ROI. The key is to have a comprehensive and data-driven approach to measuring ROI that allows businesses to make informed decisions and maximize the impact of their influencer marketing efforts." - Scott Baradell, Idea Grove

เมื่อกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมกับเป้าหมายเหล่านี้

ขั้นตอนที่ 2: เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม

การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมถือเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า 80% ของนักการตลาดมองว่าการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้ง 63% ของผู้บริโภคยังเชื่อมั่นในความคิดเห็นของอินฟลูเอนเซอร์มากกว่าโฆษณาโดยตรงจากแบรนด์ ซึ่งหมายความว่า การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายสามารถช่วยให้แคมเปญประสบความสำเร็จได้อย่างชัดเจน

"Perhaps the biggest advantage of using influencers is that you have the opportunity to choose people who are part of your target market, or who appeal to your target market."

จำแนกอินฟลูเอนเซอร์ตามขนาด: Nano, Micro, Macro

การทำความเข้าใจประเภทของอินฟลูเอนเซอร์ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SME) สามารถเลือกผู้ที่เหมาะสมกับเป้าหมายและงบประมาณของตัวเองได้ โดยอินฟลูเอนเซอร์แต่ละประเภทมีจุดเด่นและค่าตอบแทนที่แตกต่างกัน:

  • Nano Influencers (500–10,000 ผู้ติดตาม)
    อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้มักเป็นผู้บริโภคทั่วไปที่มีชุมชนขนาดเล็ก แต่มีความน่าเชื่อถือสูง โดยเฉพาะในวงการเฉพาะด้าน ค่าตอบแทนสำหรับโพสต์บน Instagram อยู่ที่ประมาณ 330–3,300 บาทต่อโพสต์ และยังมีค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม micro influencers ถึง 42%
  • Micro Influencers (10,000–50,000 ผู้ติดตาม)
    กลุ่มนี้เป็นครีเอเตอร์ที่เชี่ยวชาญในหัวข้อเฉพาะ เช่น ฟิตเนส ความงาม หรือเทคโนโลยี ผู้ติดตามมักมีความภักดีและมีส่วนร่วมสูง ค่าตอบแทนต่อโพสต์อยู่ที่ประมาณ 3,300–16,500 บาท และยังมีอัตราการมีส่วนร่วม (engagement rate) ที่โดดเด่น
  • Macro Influencers (50,000–500,000 ผู้ติดตาม)
    อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มนี้มีผู้ติดตามจำนวนมากจากการสร้างเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ มักทำงานข้ามแพลตฟอร์ม และเหมาะสำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง แม้ว่าอัตราการมีส่วนร่วมอาจอยู่ในระดับปานกลาง ค่าตอบแทนต่อโพสต์สำหรับกลุ่มนี้อยู่ในช่วง 16,500–165,000 บาท

จากข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า nano influencers มีอัตราการมีส่วนร่วมเฉลี่ย 4.39% ขณะที่ micro influencers อยู่ที่ 6% และ macro influencers มีเพียง 1.3% นอกจากนี้ micro influencers ที่มีผู้ติดตาม 10,000–50,000 คน ยังให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า mid-tier influencers (50,000–100,000 ผู้ติดตาม) ถึง 46%

การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้เหมาะกับเป้าหมาย

เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตารางด้านล่างนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเป้าหมายของแคมเปญและประเภทอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม:

เป้าหมาย ประเภทอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสม
สร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง Macro หรือ Celebrity influencers – เหมาะสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือสร้างการมองเห็นในระดับประเทศ
สร้างความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมสูง Micro และ Nano influencers – มีการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นกับผู้ติดตาม
เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้าน Nano และ Micro influencers – ช่วยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะได้อย่างตรงจุด
สร้างเนื้อหาจากผู้ใช้ (UGC) Nano และ Micro influencers – ผลิตเนื้อหาที่ดูธรรมชาติและเหมาะสำหรับการโปรโมทแบรนด์
แคมเปญที่คำนึงถึงงบประมาณ Nano influencers – เหมาะสำหรับการทำงานในงบประมาณที่จำกัด

การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมไม่เพียงช่วยให้แคมเปญของคุณประสบความสำเร็จ แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่มเป้าหมายในระยะยาวอีกด้วย

ขั้นตอนที่ 3: สร้างเนื้อหาที่สร้างผลกระทบสูง

เมื่อคุณเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่ใช่ได้แล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้างเนื้อหาที่สามารถเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้จริง และยังช่วยสร้าง ROI ที่จับต้องได้อีกด้วย 60% ของนักการตลาดมองว่าเนื้อหาเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์การตลาดทั้งหมด และยังมีข้อมูลที่ชี้ว่าแบรนด์ที่มอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าสามารถเพิ่มรายได้ได้ถึง 2–7%

การเข้าใจว่าเนื้อหาแต่ละแบบเหมาะสมกับแต่ละช่วงของ Customer Journey อย่างไร จะช่วยให้ธุรกิจ SME ส่งข้อความที่ตรงประเด็นและได้ผลมากขึ้น ลองมาดูวิธีการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงของการเดินทางของลูกค้ากันดีกว่า

"เราต้องเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริงและแสดงความเห็นอกเห็นใจก่อนที่เราจะพยายามขายหรือทำการตลาดให้พวกเขา" - Jill Grozalsky Roberson, รองประธานฝ่ายการตลาดดิจิทัลที่ Velir

ปรับเนื้อหาให้เข้ากับ Customer Journey

หลังจากได้อินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับเนื้อหาให้เข้ากับการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ การแบ่งเนื้อหาให้เหมาะกับแต่ละช่วงของ Customer Journey จะช่วยให้ข้อความที่ส่งออกไปตรงใจลูกค้ามากขึ้น

ขั้นตอนการรับรู้ (Awareness Stage)
นี่คือช่วงที่ลูกค้าเริ่มตระหนักถึงปัญหาหรือความต้องการ อินฟลูเอนเซอร์ในขั้นตอนนี้ควรเน้นการเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ แชร์ประสบการณ์ส่วนตัว และนำเสนอวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างที่น่าสนใจคือแคมเปญ #DoUsAFlavor ของ LAY'S ซึ่งให้อินฟลูเอนเซอร์เล่าถึงความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับรสชาติของมันฝรั่งทอด ทำให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มอายุ 18–24 ปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนความสนใจ (Interest Stage)
ในช่วงนี้ ลูกค้าเริ่มค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ อินฟลูเอนเซอร์ควรให้ข้อมูลที่ละเอียดขึ้น เช่น คุณสมบัติเด่นของสินค้า ข้อดีที่แตกต่างจากคู่แข่ง และตัวอย่างสถานการณ์ที่ผลิตภัณฑ์ช่วยแก้ปัญหาได้ Olay เคยใช้แคมเปญ #FaceAnything โดยให้อินฟลูเอนเซอร์หญิง 9 คนแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับครีม Olay และอธิบายว่ามันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้พวกเธอได้อย่างไร

ขั้นตอนการตัดสินใจ (Decision Stage)
นี่คือช่วงที่ลูกค้ากำลังตัดสินใจซื้อ เนื้อหาในขั้นตอนนี้ควรเน้นไปที่การชูจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ และสร้างแรงจูงใจด้วยการเรียกร้องให้ดำเนินการ (Call-to-Action) อย่างชัดเจน เช่น การแนะนำลิงก์ไปยังหน้าผลิตภัณฑ์ LA Colombe Coffee Roasters ใช้ micro-influencers ในการโปรโมทรหัสส่วนลด พร้อมกับโพสต์ภาพที่แสดงการใช้ผลิตภัณฑ์ในบรรยากาศที่น่าสนใจ เช่น งานปาร์ตี้

ขั้นตอนความภักดี (Loyalty Stage)
ในขั้นตอนนี้ เป้าหมายคือการรักษาลูกค้าเดิม เนื้อหาควรให้คำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมโปรแกรมสมาชิก หรือรีวิวจากผู้ใช้งานจริง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

ขั้นตอนที่ 4: ติดตามผลงานและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

หลังจากสร้างเนื้อหาที่ส่งผลต่อผู้ชมแล้ว ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการติดตามผลและปรับปรุงแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ การติดตามผลอย่างละเอียดช่วยให้ธุรกิจปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การติดตามผลแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ

ตัวเลขที่น่าสนใจคือ ธุรกิจสามารถได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยถึง $5.78 ต่อทุก 1 ดอลลาร์ที่ลงทุน หรือคิดเป็น ROI สูงถึง 520% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า การติดตามและปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ต่อไปเราจะพูดถึงวิธีใช้ Attribution Models เพื่อติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญอย่างละเอียด

การติดตามผลด้วย Attribution Models

หากต้องการติดตามผลแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์อย่างแม่นยำ คุณจำเป็นต้องใช้เทคนิคและเครื่องมือที่เหมาะสม Attribution Models เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยประเมินว่าผู้มีอิทธิพลแต่ละคนมีบทบาทอย่างไรต่อเป้าหมายทางการตลาด การวัดผลที่ดีช่วยให้คุณเข้าใจว่าอินฟลูเอนเซอร์คนไหนที่สร้างผลลัพธ์ได้ดีที่สุด และช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างตรงจุด

วิธีการติดตามที่นิยมใช้ ได้แก่:

  • รหัสส่วนลดเฉพาะ: มอบรหัสส่วนลดเฉพาะให้กับอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคน เพื่อติดตามยอดขายที่เกิดขึ้นจากพวกเขา.
  • UTM Parameters: เพิ่มพารามิเตอร์ UTM ในลิงก์ที่อินฟลูเอนเซอร์แชร์ เพื่อระบุแหล่งที่มาของการคลิกและการแปลงผ่าน Google Analytics.
  • Multi-touch Attribution: ใช้โมเดลนี้เพื่อวิเคราะห์บทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ในแต่ละขั้นตอนของการเดินทางของลูกค้า.

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีของ Nestlé ที่ใช้เครื่องมือ StatSocial เพื่อติดตามผลลัพธ์จากแคมเปญการตลาดอินฟลูเอนเซอร์สำหรับผลิตภัณฑ์ DiGiorno และ Hot Pockets โดยพวกเขาได้วิเคราะห์กลุ่มผู้ชมที่ได้รับเนื้อหาอินฟลูเอนเซอร์บนแพลตฟอร์มอย่าง Instagram, X, TikTok และ YouTube จากนั้นจับคู่ข้อมูลนี้กับยอดขายในร้านค้าตลอด 150 วัน ผลลัพธ์แสดงให้เห็นว่า:

  • กลุ่มที่ได้รับเนื้อหาอินฟลูเอนเซอร์ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 9.3% (เพิ่มยอดซื้อเฉลี่ย $0.38 ต่อรายการ) สำหรับ DiGiorno
  • สำหรับ Hot Pockets ยอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 25.3% (เพิ่มยอดซื้อเฉลี่ย $0.35 ต่อรายการ).

"แม้ว่าการเข้าใจผลลัพธ์เหล่านี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อทีม แต่สิ่งที่ได้รับมากที่สุดจากการเป็นพาร์ทเนอร์กับ StatSocial คือความสามารถในการวัดผลกระทบต่อยอดขายโดยตรงที่เกิดจากแคมเปญของเรา ซึ่งเป็นความสามารถที่ช่องทางการตลาดอื่นๆ สามารถทำได้มาหลายปีแล้ว"

  • Daniel Davidson, หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์การตลาด CX, Nestlé

เครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยติดตามผล

นอกจากวิธีการติดตามผลที่กล่าวมา การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ยังช่วยให้การประเมินผลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวเลือกที่น่าสนใจ ได้แก่:

  • Socialinsider: เริ่มต้นที่ 3,465 บาทต่อเดือน รองรับโปรไฟล์โซเชียลมีเดียสูงสุด 20 โปรไฟล์.
  • HypeAuditor: แผนเริ่มต้นที่ประมาณ $299 (ประมาณ 10,465 บาท) ต่อเดือน สำหรับการค้นหาและวิเคราะห์อินฟลูเอนเซอร์.

การใช้เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้คุณติดตามผลได้อย่างแม่นยำ แต่ยังช่วยให้ปรับปรุงแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย!

ขั้นตอนที่ 5: ขยายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จเพื่อการเติบโตระยะยาว

หลังจากการปรับปรุงและติดตามแคมเปญในขั้นตอนก่อนหน้า ถึงเวลาที่จะยกระดับผลลัพธ์ให้เกิดการเติบโตในระยะยาว การขยายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จไม่เพียงช่วยสร้าง ROI ที่มั่นคง แต่ยังช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเนื้อหาลงถึง 40–60% และเปลี่ยนอินฟลูเอนเซอร์ให้กลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์อย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นเพียงผู้โปรโมตระยะสั้น

แบรนด์ที่ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ระยะยาว (12 เดือนขึ้นไป) พบว่ามีอัตราการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึง 300% เมื่อเทียบกับการทำงานแบบระยะสั้น นอกจากนี้ ความร่วมมือในระยะยาวยังช่วยเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมได้ถึง 4 เท่า และปรับปรุงอัตราการแปลงให้ดีขึ้นถึง 50%

ทำซ้ำและต่อยอดจากสิ่งที่ได้ผล

การขยายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อติดตามตัวชี้วัดสำคัญ เช่น จำนวนการเข้าชม อัตราการแปลง และการมีส่วนร่วม เพื่อระบุว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้แคมเปญได้ผล

ตัวอย่างจาก Nikin Clothing แบรนด์เสื้อผ้าจากสวิตเซอร์แลนด์ที่เน้นความยั่งยืน แสดงให้เห็นถึงพลังของการขยายแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ ด้วยความร่วมมือกับ House of Marketers พวกเขาสามารถเข้าถึงผู้คนกว่า 2.5 ล้านคน สร้างยอดขายได้ 266 รายการ และได้รับการมีส่วนร่วมกว่า 108,000 ครั้ง ความสำเร็จนี้มาจากการเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีค่านิยมตรงกับแบรนด์ ทำให้การโปรโมตมีความน่าเชื่อถือและสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ธุรกิจสามารถนำข้อมูลจากแคมเปญที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้ในแคมเปญใหม่ได้ โดยระบุว่าอินฟลูเอนเซอร์คนไหนและเนื้อหารูปแบบใดที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด อีกทั้งยังสามารถนำเนื้อหาหลักจากอินฟลูเอนเซอร์มาใช้ซ้ำในแพลตฟอร์มอื่น ๆ หรือนำไปปรับในรูปแบบใหม่เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย

"การลงทุนในระดับอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องของต้นทุน แต่เป็นเรื่องของคุณค่าที่พวกเขาเพิ่มให้กับเรื่องราวแบรนด์และการแปลงที่พวกเขาสามารถขับเคลื่อนได้"

  • Stephen McClelland, Digital Strategist, ProfileTree

ตัวอย่างเพิ่มเติม เช่น AboutYou แพลตฟอร์มแฟชั่นที่ให้เครดิตความสำเร็จส่วนใหญ่ของรายได้มาจากการทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ หรือ Butternut Box ที่ใช้กลยุทธ์อินฟลูเอนเซอร์ในการเปลี่ยนจากธุรกิจเล็ก ๆ ให้กลายเป็นแบรนด์ระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว

การสร้างความร่วมมือระยะยาวกับอินฟลูเอนเซอร์

การสร้างความร่วมมือระยะยาวกับอินฟลูเอนเซอร์สามารถช่วยสร้างความไว้วางใจและความภักดีในหมู่ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ความสัมพันธ์แบบนี้ช่วยให้แบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์มีการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นมากขึ้น ปัจจุบัน 79% ของแบรนด์ให้ความสำคัญกับความสอดคล้องของค่านิยมมากกว่าการเข้าถึงเมื่อต้องเลือกพันธมิตร การทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังเตรียมแบรนด์ให้พร้อมสำหรับความสำเร็จในระยะยาวอีกด้วย

sbb-itb-4ffe5b5

VenueE Performance Marketing: พาร์ทเนอร์ของคุณสำหรับแคมเปญที่มุ่งเน้น ROI

หลังจากที่คุณเข้าใจ 5 ขั้นตอนในการเพิ่ม ROI ด้วยอินฟลูเอนเซอร์แล้ว ธุรกิจ SME จำเป็นต้องมีทั้งความเชี่ยวชาญและเครื่องมือที่เหมาะสมเพื่อสร้างความสำเร็จในสนามการแข่งขันดิจิทัล และเมื่อแคมเปญของคุณเริ่มแสดงผลลัพธ์ที่ดี การเลือกพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจความสำคัญของ ROI จะช่วยต่อยอดความสำเร็จนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การร่วมงานกับเอเจนซี่ที่เข้าใจความต้องการของธุรกิจ SME อย่างแท้จริง จะช่วยให้การวางแผนแคมเปญมีความแม่นยำและตอบโจทย์ในยุคที่การแข่งขันดิจิทัลเข้มข้น VenueE Performance Marketing พร้อมช่วยให้คุณก้าวข้ามความท้าทาย ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริง

เอเจนซี่ที่ได้รับการรับรองจาก Meta พร้อมประสบการณ์ที่พิสูจน์ได้

VenueE Performance Marketing เป็นหนึ่งในเอเจนซี่เพียง 30 แห่งในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองเป็น Meta Badged Partner ซึ่งหมายความว่าพวกเขาผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่เข้มงวดของ Meta และยังจัดการงบโฆษณามากกว่า 150 ล้านบาทต่อปี

ด้วยความชำนาญในการวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้ Attribution Models ที่ซับซ้อน VenueE สามารถติดตามผลลัพธ์ของอินฟลูเอนเซอร์ได้อย่างแม่นยำ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้าง ROI แทนที่จะมุ่งแค่เพิ่มยอดไลค์ คอมเมนต์ หรือแชร์ วิธีการนี้ช่วยให้แคมเปญอินฟลูเอนเซอร์มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ เช่น การเพิ่มยอดขายหรือการสร้างการมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพ

การรายงานผลที่โปร่งใสและการทำงานที่ยืดหยุ่น

VenueE ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสในการรายงานผล โดยนำเสนอข้อมูลแบบเรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญได้ทันที การเข้าถึงข้อมูลแบบเรียลไทม์นี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว หรือหยุดแคมเปญที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายได้ทันเวลา

นอกจากนี้ VenueE ยังดำเนินงานผ่านบัญชีธุรกิจของลูกค้าโดยตรง ทำให้ลูกค้าเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมด ซึ่งช่วยสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินงาน แม้ในกรณีที่ต้องเปลี่ยนเอเจนซี่ในอนาคต

อีกหนึ่งจุดเด่นคือบริการที่ยืดหยุ่น VenueE ให้บริการแบบรายเดือนโดยไม่มีสัญญาผูกมัด ทำให้ลูกค้าสามารถประเมินผลและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างอิสระตามความต้องการของธุรกิจ

สรุป: การสร้าง ROI ด้วยอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง

ตั้งแต่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนไปจนถึงการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับอินฟลูเอนเซอร์ ทุกขั้นตอนล้วนเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่ม ROI อย่างต่อเนื่อง อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งไม่ใช่เรื่องซับซ้อนสำหรับธุรกิจ SME หากดำเนินการตามขั้นตอนที่แนะนำ

ข้อมูลวิจัยเผยว่า ธุรกิจสามารถสร้าง ROI เฉลี่ย 6.50 บาทต่อการลงทุน 1 บาท ในอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง และ 13% ของแบรนด์ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดสามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 20 บาทต่อการลงทุน 1 บาท ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงโอกาสอันยอดเยี่ยมของช่องทางการตลาดนี้

"ROI ควรวัดจากยอดขายที่เติบโตจริง ในยุคที่ทุกอย่างสามารถซื้อได้ ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมหรือคลิก อิทธิพลที่แท้จริงต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน" - Lili Gil Valletta, CIEN+

เคล็ดลับสำคัญสำหรับ SME

เริ่มต้นด้วยการวางแผนที่ชัดเจนโดยใช้ SMART Goals ซึ่งเป็นหัวใจของความสำเร็จ ผูกเป้าหมายแคมเปญเข้ากับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมายของคุณ สร้างคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับ Customer Journey และติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้น

การศึกษาชี้ให้เห็นว่า แบรนด์ที่มีเป้าหมายชัดเจนมีโอกาสประสบความสำเร็จในอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งสูงกว่า 4 เท่า และ 60% ของนักการตลาดระบุว่าคอนเทนต์จากอินฟลูเอนเซอร์มีประสิทธิภาพมากกว่าคอนเทนต์ที่แบรนด์สร้างเอง

สิ่งสำคัญคือการมองอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งเป็นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่การโฆษณาเพียงครั้งเดียว การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคง การผสานทุกขั้นตอนเข้าด้วยกันจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ

เดินหน้ากับ VenueE Performance Marketing

ขั้นตอนเหล่านี้เป็นรากฐานที่ดีสำหรับการต่อยอด หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ที่เน้น ROI หรือปรับปรุงแคมเปญที่มีอยู่ VenueE Performance Marketing พร้อมเป็นคู่คิดที่จะช่วยคุณบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

ด้วยสถานะ Meta Badged Partner และประสบการณ์การจัดการงบโฆษณากว่า 150 ล้านบาทต่อปี VenueE เข้าใจความต้องการของ SME ที่ต้องการผลลัพธ์ที่วัดผลได้ ไม่ใช่แค่การมีส่วนร่วมที่ไม่สร้างรายได้

การทำงานกับ VenueE หมายถึงการได้รับ การรายงานผลแบบเรียลไทม์ที่โปร่งใส การควบคุมข้อมูลแคมเปญทั้งหมด และการบริการที่ยืดหยุ่นแบบรายเดือนโดยไม่มีข้อผูกมัด ซึ่งช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์ได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจคุณ

FAQs

ควรเลือกอินฟลูเอนเซอร์แบบ Nano, Micro หรือ Macro อย่างไรให้เหมาะกับแคมเปญของธุรกิจ SME?

การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ให้เหมาะกับธุรกิจ SME

การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมสำหรับแคมเปญของธุรกิจ SME ควรพิจารณาจาก กลุ่มเป้าหมาย, งบประมาณ, และ เป้าหมายของแคมเปญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด

  • หากคุณต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง อินฟลูเอนเซอร์ประเภท Nano หรือ Micro อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากพวกเขามักมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้ติดตาม และสามารถสร้างความไว้วางใจได้ดี
  • ในกรณีที่แคมเปญของคุณมุ่งเน้นการเข้าถึงในวงกว้างและต้องการสร้างการรับรู้ในระดับใหญ่ อินฟลูเอนเซอร์แบบ Macro อาจตอบโจทย์มากกว่า แต่อย่าลืมว่าตัวเลือกนี้มักมาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น

อีกสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามคือการวิเคราะห์ ระดับการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) ของอินฟลูเอนเซอร์ที่คุณกำลังพิจารณา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาสามารถช่วยเพิ่ม ROI ให้กับแคมเปญของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

เราจะติดตามและวัดผลความสำเร็จของแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ได้อย่างไร?

การติดตามและวัดผลแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์

การวัดผลแคมเปญอินฟลูเอนเซอร์ให้ได้ผลนั้น เริ่มต้นด้วยการตั้ง KPIs (Key Performance Indicators) ที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น:

  • Engagement Rate: เพื่อดูว่าผู้ติดตามมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์มากน้อยแค่ไหน
  • Reach: วัดจำนวนผู้ที่มองเห็นคอนเทนต์
  • Conversion Rate: ประเมินจำนวนผู้ที่เปลี่ยนจากผู้ชมเป็นลูกค้าจริง

เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Google Analytics หรือ Social Media Analytics เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้คุณมองเห็นภาพรวมของแคมเปญได้อย่างชัดเจน คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลอย่างจำนวนผู้เข้าถึง การมีส่วนร่วม และยอดขายที่เกิดขึ้นจากแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

อีกหนึ่งสิ่งที่ควรทำคือการเปรียบเทียบผลลัพธ์กับค่าใช้จ่าย เพื่อคำนวณ ROI (Return on Investment) นี่จะช่วยให้คุณทราบว่าแคมเปญคุ้มค่าหรือไม่ และสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมสำหรับการดำเนินงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทำไมการร่วมงานระยะยาวกับอินฟลูเอนเซอร์จึงช่วยเพิ่ม ROI ให้ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ?

การร่วมงานระยะยาวกับอินฟลูเอนเซอร์ช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างไร?

การสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับอินฟลูเอนเซอร์สามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องช่วยเสริมทั้ง ความน่าเชื่อถือ และ ความไว้วางใจ ระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย เมื่ออินฟลูเอนเซอร์พูดถึงแบรนด์อย่างสม่ำเสมอ ผู้ติดตามมักจะเริ่มมองว่าแบรนด์นั้นมีคุณภาพและเชื่อถือได้มากขึ้น

ที่สำคัญ การทำงานในระยะยาวยังเปิดโอกาสให้แบรนด์และอินฟลูเอนเซอร์ร่วมกันพัฒนา เนื้อหาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่วยให้การสื่อสารเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเติบโตอย่างมั่นคง และในที่สุด ROI ของธุรกิจก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนในระยะยาว

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ