เรียนรู้วิธีการใช้ CRM ร่วมกับ Hyper-Personalization เพื่อเพิ่ม ROI และสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับลูกค้าในธุรกิจของคุณ

CRM ช่วยเพิ่ม ROI ด้วย Hyper-Personalization อย่างไร
ต้องการเพิ่ม ROI ธุรกิจของคุณ? ใช้ CRM กับ Hyper-Personalization ได้เลย!
CRM ที่รวม AI และ Machine Learning ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ สร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ เช่น แอปฯ My Lotus's ที่ใช้ AI เสนอโปรโมชั่นตรงใจลูกค้า
ประโยชน์หลัก:
- เพิ่มยอดขายและ ROI
- ลดต้นทุนการตลาด
- รักษาลูกค้าเดิมและดึงดูดลูกค้าใหม่
- คาดการณ์ความต้องการลูกค้าได้ทันที
ตัวอย่างการใช้งานในไทย:
- Lotus's ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า
- ธนาคารเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบเฉพาะบุคคล
เริ่มต้นง่าย ๆ:
- ตั้งค่าระบบจัดการข้อมูลที่แม่นยำ
- ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
- ปรับแคมเปญให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
CRM และ Hyper-Personalization ไม่ใช่แค่เพิ่ม ROI แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า!
สร้างกำไรทวีคูณให้ธุรกิจ ด้วย Hyper-Personalization ที่รู้ใจลูกค้าอย่างแท้จริง | SUP-TECH EP.3
CRM Hyper-Personalization คืออะไร
Hyper-Personalization หมายถึงการนำ AI และ Machine Learning มาใช้ร่วมกับระบบ CRM เพื่อสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลแบบเรียลไทม์ โดยวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรม ความชอบ และการปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าในทันที ซึ่งต่างจาก Personalization แบบเดิมที่มักใช้เพียงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ชื่อ หรือข้อมูลทั่วไปของลูกค้าเท่านั้น
องค์ประกอบหลัก
การทำ Hyper-Personalization ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
องค์ประกอบ | การทำงาน | ประโยชน์ |
---|---|---|
วิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์ | ประมวลผลข้อมูลการใช้งาน การซื้อ และพฤติกรรมลูกค้าแบบทันที | ช่วยส่งมอบข้อเสนอที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม |
AI และ Machine Learning | วิเคราะห์พฤติกรรมที่ซับซ้อนและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า | เพิ่มความแม่นยำและลึกซึ้งในการเข้าใจลูกค้า |
ระบบจัดการข้อมูลแบบรวมศูนย์ | รวมข้อมูลจากทุกช่องทางการติดต่อ | สร้างมุมมองลูกค้าที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ |
ผลกระทบต่อธุรกิจ SME ไทย
ในบริบทของธุรกิจ SME ไทย Hyper-Personalization ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและยอดขายได้อย่างเห็นผล ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์เพื่อเสนอโปรโมชันที่เหมาะสมทันที ซึ่งไม่เพียงช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ แต่ยังช่วยรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าเดิมได้ดียิ่งขึ้น
การนำระบบ CRM ที่รองรับ Hyper-Personalization มาใช้ ยังช่วยลดต้นทุนด้านการตลาด เพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลงจากผู้สนใจเป็นลูกค้าจริง และสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้ใช้งาน
ตัวอย่างที่ชัดเจนในประเทศไทยคือ ธนาคารที่นำ Hyper-Personalization มาใช้ในการแนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ในขณะที่ลูกค้ากำลังกรอกข้อมูลขอสินเชื่อ ทำให้สามารถเสนอคำแนะนำหรือผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมได้ทันที
ก้าวถัดไปของการทำ Hyper-Personalization คือการตั้งค่าระบบจัดการข้อมูลที่แม่นยำ เพื่อขับเคลื่อนแคมเปญ CRM ที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างตรงจุด.
การตั้งค่าระบบจัดการข้อมูล
การจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Hyper-Personalization ผ่านระบบ CRM สำหรับตลาดในประเทศไทย
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างครอบคลุมต้องมาจากทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) ที่สำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
ประเภทข้อมูล | แหล่งที่มา | ประโยชน์ในการใช้งาน |
---|---|---|
พฤติกรรมการซื้อ | ระบบ POS, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ | วิเคราะห์รูปแบบการซื้อและความถี่ |
การใช้งานเว็บไซต์ | Google Analytics, ระบบติดตามพฤติกรรม | เข้าใจความสนใจและการตัดสินใจของลูกค้า |
ข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง | แอปพลิเคชันมือถือ, GPS | ส่งโปรโมชันเฉพาะพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ |
ข้อมูลการใช้งานอุปกรณ์ | ข้อมูลการเข้าถึงจากหลายช่องทาง | ปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ใช้ |
ลักษณะเฉพาะของตลาดไทย
สำหรับการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลในตลาดไทย มีปัจจัยเฉพาะที่ควรคำนึงถึง:
- ภาษาและการสื่อสาร: ระบบต้องรองรับข้อมูลภาษาไทย รวมถึงระดับความสุภาพและการใช้คำที่เหมาะสม
- ความแตกต่างระหว่างภูมิภาค: พฤติกรรมการซื้อและความชอบของผู้บริโภคในเมืองใหญ่และต่างจังหวัดอาจแตกต่างกัน
- ช่องทางการติดต่อ: แพลตฟอร์มยอดนิยมในไทย เช่น LINE และ Facebook ควรถูกนำมาใช้เป็นช่องทางหลักในการสื่อสาร
แนวทางการปฏิบัติตาม PDPA
การจัดการข้อมูลต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) โดยควรคำนึงถึงข้อสำคัญเหล่านี้:
- การขอความยินยอม: ต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้าก่อนการเก็บข้อมูล
- วัตถุประสงค์การใช้งาน: ระบุเป้าหมายการเก็บและใช้ข้อมูลอย่างชัดเจน
- การรักษาความปลอดภัย: ข้อมูลต้องถูกจัดเก็บในระบบที่ปลอดภัยและมีมาตรการป้องกันการรั่วไหล
- สิทธิของเจ้าของข้อมูล: ลูกค้ามีสิทธิในการเข้าถึง แก้ไข หรือขอลบข้อมูลส่วนบุคคล
การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจสอดคล้องกับกฎหมาย แต่ยังสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการสร้างแคมเปญ CRM ที่ตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพในระยะยาว
การสร้างแคมเปญ CRM แบบส่วนบุคคล
การสร้างแคมเปญ CRM ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริงเริ่มต้นจากการผสมผสานข้อมูลเชิงลึกเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เป้าหมายคือการมอบประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้า หลังจากตั้งค่าระบบจัดการข้อมูลแล้ว การนำข้อมูลมาใช้อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้แคมเปญมีความเฉพาะเจาะจงและตรงเป้ามากขึ้น
การตลาดแบบหลายช่องทาง
เพื่อให้การตลาดมีประสิทธิภาพ การเลือกช่องทางที่เหมาะสมและปรับแต่งเนื้อหาให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างด้านล่างแสดงวิธีการปรับแต่งเนื้อหาในแต่ละช่องทาง:
ช่องทาง | รูปแบบเนื้อหา | วิธีการปรับแต่ง |
---|---|---|
LINE OA | สื่อผสม, สติกเกอร์ | ข้อเสนอเฉพาะบุคคล |
Lazada/Shopee | แนะนำสินค้า | แจ้งเตือนลดราคา |
SMS | โค้ดส่วนลด | ข้อเสนอจำกัดเวลา |
อีเมล | เนื้อหาละเอียด | คำแนะนำตามประวัติ |
ขั้นตอนถัดไปคือการนำ AI เข้ามาช่วยในการแบ่งกลุ่มลูกค้า เพื่อให้การสื่อสารมีความแม่นยำยิ่งขึ้น
การแบ่งกลุ่มลูกค้าด้วย AI
AI มีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้า ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น:
- วิเคราะห์พฤติกรรม: ใช้อัลกอริทึมเพื่อศึกษารูปแบบการซื้อและการมีส่วนร่วมของลูกค้า
- ทำนายมูลค่าลูกค้า: Machine Learning ช่วยคาดการณ์ศักยภาพการใช้จ่ายของลูกค้า
- วิเคราะห์ความรู้สึก: ใช้ NLP เพื่อประเมินการตอบสนองและความคิดเห็นในโซเชียลมีเดีย
เมื่อได้กลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบโปรแกรมสมาชิกที่ตอบสนองความต้องการของแต่ละกลุ่ม
ตัวอย่างโปรแกรมสมาชิก
โปรแกรมสมาชิกที่ประสบความสำเร็จมักใช้ AI และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมและตอบสนองความต้องการของลูกค้า ตัวอย่างองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้โปรแกรมสมาชิกมีประสิทธิภาพ ได้แก่:
- ระบบสมาชิกแบบขั้นบันได: ยิ่งอยู่ในระดับที่สูงขึ้น สิทธิประโยชน์ก็ยิ่งมากขึ้น
- รางวัลที่ปรับแต่งได้: ลูกค้าสามารถเลือกรางวัลที่เหมาะกับตัวเอง
- การเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษ: มอบสิทธิพิเศษในวันเกิดหรือวันครบรอบ
- ระบบเกมิฟิเคชัน: เพิ่มความสนุกด้วยการสะสมคะแนน ความท้าทาย และเหรียญตรา
หากคุณกำลังมองหาความช่วยเหลือในการออกแบบและดำเนินแคมเปญ CRM ที่มุ่งเน้นความเฉพาะตัว ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก VenueE Performance Marketing Agency พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนคุณอย่างเต็มที่!
การติดตาม ROI จากแคมเปญ CRM
หลังจากสร้างแคมเปญที่มุ่งเน้นความเฉพาะตัวสำหรับลูกค้าแล้ว การวัด ROI ถือเป็นอีกขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างต่อเนื่อง การวัดผลตอบแทนจากแคมเปญ CRM ที่ใช้ Hyper-Personalization ไม่เพียงช่วยประเมินประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยให้ธุรกิจปรับตัวตามความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่ควรติดตาม
การวัด ROI ที่แม่นยำต้องอาศัยตัวชี้วัดที่หลากหลาย โดยเฉพาะในตลาดไทยที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีความเฉพาะตัวสูง ตัวชี้วัดสำคัญที่ควรนำมาพิจารณา ได้แก่:
ตัวชี้วัด | วิธีการคำนวณ | ความสำคัญต่อธุรกิจ |
---|---|---|
มูลค่าตลอดชีวิตของลูกค้า (CLV) | รายได้เฉลี่ยต่อครั้ง × ความถี่การซื้อ × อายุความสัมพันธ์ | ช่วยประเมินผลตอบแทนในระยะยาว |
อัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้า | (จำนวนลูกค้าใหม่ ÷ จำนวนผู้สนใจทั้งหมด) × 100 | วัดประสิทธิภาพในการเปลี่ยนผู้สนใจให้กลายเป็นลูกค้า |
ต้นทุนการได้มาซึ่งลูกค้า | ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ÷ จำนวนลูกค้าใหม่ | ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการตลาด |
ตัวอย่างจากธุรกิจค้าปลีกในไทยแสดงให้เห็นว่า การนำ AI และ Big Data มาใช้สามารถเพิ่ม ROI ของแคมเปญได้อย่างชัดเจน การเลือกเครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสมจึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การติดตาม ROI แม่นยำยิ่งขึ้น
เครื่องมือวิเคราะห์ CRM ที่เหมาะสม
การเลือกเครื่องมือวิเคราะห์ที่ดีช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตาม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือเหล่านี้ควรมีคุณสมบัติดังนี้:
- รองรับภาษาไทยและการแสดงผลในรูปแบบสกุลเงินบาท
- ระบบรายงานแบบเรียลไทม์ที่ใช้งานง่ายและปรับแต่งได้
- การวิเคราะห์เชิงลึกด้วย AI เพื่อแนะนำการปรับปรุงแคมเปญ
- ความสามารถในการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศ
- ระบบรักษาความปลอดภัยที่สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA
การติดตาม ROI อย่างต่อเนื่องไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจปรับกลยุทธ์ Hyper-Personalization ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า พร้อมเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว
สำหรับ SME ในไทยที่ต้องการความช่วยเหลือในการติดตามและวิเคราะห์ ROI จากแคมเปญ CRM คุณสามารถพิจารณา VenueE Performance Marketing Agency ซึ่งมีทั้งประสบการณ์และเทคโนโลยีที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
sbb-itb-4ffe5b5
สรุป
การใช้ CRM ร่วมกับ Hyper-Personalization ช่วยเพิ่ม ROI ให้กับ SME ไทยในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ การนำ AI และ Big Data มาวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเปิดโอกาสให้แบรนด์นำเสนอประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มทั้งการมีส่วนร่วมและยอดขายอย่างเห็นได้ชัด
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Lotus's ซึ่งประสบความสำเร็จในการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าผ่านแอปพลิเคชัน My Lotus's ส่งผลให้สามารถเพิ่มยอดขายและการมีส่วนร่วมของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับ SME ที่ต้องการเริ่มต้นใช้งาน CRM เพื่อสร้าง Hyper-Personalization ควรเริ่มจากการวางระบบจัดการข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งเลือกใช้เครื่องมือวิเคราะห์ ROI ที่แม่นยำ และหากต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติม สามารถรับบริการจาก VenueE Performance Marketing Agency ซึ่งมีประสบการณ์ดูแลงบโฆษณามากกว่า 150 ล้านบาทต่อปี
CRM และ Hyper-Personalization ไม่ได้ช่วยเพียงแค่เพิ่ม ROI แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตของธุรกิจในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
FAQs
Hyper-Personalization คืออะไร และแตกต่างจาก Personalization ทั่วไปอย่างไร?
Hyper-Personalization คืออะไร?
Hyper-Personalization คือการปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าให้ลึกซึ้งและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกจาก พฤติกรรมลูกค้าแบบเรียลไทม์ เช่น การคลิก การค้นหา การซื้อสินค้า รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่ได้จากการใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าในระดับบุคคล
ต่างจากการปรับแต่งแบบทั่วไปที่เน้นการจัดข้อความหรือข้อเสนอให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย Hyper-Personalization ก้าวไปอีกขั้นด้วยการวิเคราะห์และออกแบบประสบการณ์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะตัว เช่น การส่งโปรโมชั่นที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าในช่วงเวลานั้น หรือการแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อก่อนหน้า วิธีการนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า และยังช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ระบบ CRM เพื่อพัฒนาแคมเปญแบบ Hyper-Personalized ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ตรงจุด และสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิผล
AI และ Machine Learning ใน CRM ช่วยเพิ่ม ROI และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อย่างไร?
การใช้ AI และ Machine Learning ในระบบ CRM
การนำ AI และ Machine Learning มาใช้ในระบบ CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถเจาะลึกข้อมูลลูกค้าได้อย่างแม่นยำและละเอียดมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล (Hyper-Personalization) สำหรับลูกค้าแต่ละราย ผลลัพธ์คือโอกาสที่เพิ่มขึ้นในการปิดการขายและการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น พฤติกรรมการซื้อ ความสนใจ หรือข้อมูลประชากรศาสตร์ เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น:
- แนะนำสินค้าและบริการ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
- สร้างข้อความและข้อเสนอเฉพาะบุคคล ที่ตรงใจและมีผลกระทบมากขึ้น
- คาดการณ์พฤติกรรมลูกค้าในอนาคต เพื่อช่วยวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม
การนำ AI และ Machine Learning มาใช้ใน CRM ไม่ได้ช่วยแค่เพิ่ม ROI แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนกับลูกค้า ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดในยุคดิจิทัลนี้
ธุรกิจ SME ในไทยจะเริ่มต้นใช้ Hyper-Personalization ผ่าน CRM ได้อย่างไร?
Hyper-Personalization: กลยุทธ์สำคัญสำหรับ SME ไทย
Hyper-Personalization คือกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจ SME ในไทยสามารถสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าแต่ละรายได้มากขึ้น โดยใช้ CRM (Customer Relationship Management) เป็นเครื่องมือสำคัญในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการซื้อ ความสนใจ หรือข้อมูลประชากร เพื่อปรับแต่งแคมเปญการตลาดให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละคน
ขั้นตอนเริ่มต้นในการนำ Hyper-Personalization มาใช้
- เก็บข้อมูลลูกค้า: ใช้ระบบ CRM เพื่อรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือประวัติการสั่งซื้อสินค้า เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน
- วิเคราะห์ข้อมูล: ใช้ฟีเจอร์ใน CRM เพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า เช่น สินค้าที่นิยมซื้อหรือช่วงเวลาที่ลูกค้าชอบทำการสั่งซื้อ
- ออกแบบแคมเปญเฉพาะบุคคล: สร้างข้อความ โปรโมชั่น หรือข้อเสนอที่ปรับให้ตรงกับความสนใจและความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
การนำ Hyper-Personalization มาใช้ไม่ได้เพียงแค่ช่วยเพิ่ม ROI (Return on Investment) แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนกับลูกค้าอีกด้วย เมื่อธุรกิจสามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการใส่ใจอย่างแท้จริง ลูกค้าก็จะมีความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้นในระยะยาว ซึ่งเป็นผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต.
