เรียนรู้วิธีการใช้ Remarketing เพื่อดึงลูกค้ากลับมาและเพิ่มยอดขายในตลาดไทยอย่างมีประสิทธิภาพ.

ลูกค้าเข้าเว็บแล้วไม่ซื้อ? เทคนิค Remarketing ที่เพิ่มยอดขาย
ลูกค้าเข้าเว็บแล้วไม่ซื้อ? รู้ไหมว่า 95% ของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ มักออกไปโดยไม่ซื้อสินค้า และในไทย อัตราการทิ้งตะกร้าสูงถึง 84%! สิ่งนี้อาจเกิดจากค่าจัดส่งสูง การชำระเงินไม่สะดวก หรือความกังวลเรื่องความยั่งยืน
Remarketing คือวิธีสำคัญในการดึงลูกค้ากลับมาและเพิ่มยอดขาย ด้วยการแสดงโฆษณาสินค้าที่ลูกค้าเคยดู หรือส่งอีเมลแจ้งเตือนเกี่ยวกับสินค้าในตะกร้า
สรุปประเด็นสำคัญ:
- ปัญหาหลัก: ลูกค้าออกจากเว็บไซต์เพราะค่าจัดส่งสูง, ระบบซับซ้อน, หรือความเร็วเว็บไซต์ต่ำ
- Remarketing ช่วยได้: ใช้โฆษณา Dynamic Ads, อีเมลส่วนตัว, และ LINE Official Account เพื่อดึงลูกค้ากลับมา
- ปรับให้เหมาะกับไทย: ใช้ภาษาไทย, เน้นเทศกาลสำคัญ, และเลือกเวลาส่งข้อความที่เหมาะสม
เริ่มต้นวันนี้ ด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าและใช้กลยุทธ์ Remarketing อย่างเหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสปิดการขายและลดการทิ้งตะกร้าสินค้า!
ทำไมลูกค้าถึงออกไปโดยไม่ซื้อสินค้า
สาเหตุหลักที่ผู้เยี่ยมชมออกจากเว็บไซต์
เคยสงสัยไหมว่าทำไมลูกค้าถึงเข้ามาในเว็บไซต์แล้วออกไปโดยไม่ซื้ออะไร? ปัญหานี้พบได้บ่อย โดยเฉพาะในตลาดไทยที่พฤติกรรมผู้บริโภคมีลักษณะเฉพาะ จากข้อมูลระดับโลก พบว่ากว่า 70% ของตะกร้าสินค้าออนไลน์ถูกทิ้งก่อนการซื้อเสร็จสมบูรณ์ สาเหตุหลักมีดังนี้:
- ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด: ค่าจัดส่งหรือภาษีที่เพิ่มเข้ามาเป็นเหตุผลใหญ่ที่ 48% ของลูกค้าทิ้งตะกร้า และอีก 30% มาจากต้นทุนอื่น ๆ ที่ไม่แจ้งล่วงหน้า สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าในทันที
- ขั้นตอนการสั่งซื้อที่ซับซ้อน: 15% ของลูกค้าละทิ้งการซื้อเพราะกระบวนการยุ่งยากเกินไป สำหรับผู้บริโภคในไทย ความง่ายและรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญ ตัวเลือกการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น การเก็บเงินปลายทาง ยังคงได้รับความนิยมสูง
- ความกังวลด้านความยั่งยืน: ผู้บริโภคในไทยเริ่มให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การละเลยประเด็นนี้อาจทำให้ลูกค้าไม่มั่นใจในการซื้อ
- ประสบการณ์ผู้ใช้และความเร็วเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่โหลดช้าหรือใช้งานยากเป็นอีกเหตุผลที่ลูกค้าเปลี่ยนใจทันที เพราะผู้บริโภคในยุคนี้คาดหวังความสะดวกและรวดเร็ว
การเข้าใจปัญหาเหล่านี้คือก้าวแรกในการปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและลดการทิ้งตะกร้าสินค้า
วิธีการติดตามพฤติกรรมผู้เยี่ยมชม
เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ลูกค้าละทิ้งตะกร้า ธุรกิจจำเป็นต้องวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้เยี่ยมชมอย่างละเอียด การรู้ว่าอะไรทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขาย
- Google Analytics 4 (GA4): เครื่องมือนี้ช่วยติดตามว่าหน้าใดในเว็บไซต์ที่ลูกค้าสนใจ และจุดใดที่ลูกค้าออกจากเว็บไซต์
- การวิเคราะห์ Funnel: การวิเคราะห์นี้ช่วยให้เห็นภาพรวมของกระบวนการแปลงลูกค้าในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การเข้าชมไปจนถึงการซื้อ ช่วยระบุจุดที่ลูกค้าติดขัดหรือเลิกสนใจ
- Hotjar และ Mixpanel: Hotjar ช่วยติดตามการเคลื่อนไหวของเมาส์และการคลิกของลูกค้า ในขณะที่ Mixpanel ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้ใช้แบบละเอียด ทั้งสองเครื่องมือช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ได้อย่างตรงจุด
การใช้เครื่องมือเหล่านี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาที่ทำให้ลูกค้าออกไป แต่ยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์และดึงดูดใจมากขึ้น.
สอนยิงเเอด Facebook Retarget - Remarketing | ตามไปหลอกหลอนทุกที่ - Ep.2
วิธี Remarketing เพื่อดึงผู้เยี่ยมชมกลับมา
เมื่อคุณเข้าใจเหตุผลที่ลูกค้าอาจออกจากเว็บไซต์หรือแอปฯ โดยไม่ทำการซื้อ ขั้นตอนต่อไปคือการใช้กลยุทธ์ remarketing เพื่อดึงพวกเขากลับมา ด้วยการผสมผสานช่องทางต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในไทย
โฆษณาสินค้าแบบไดนามิกสำหรับลูกค้าไทย
Dynamic product ads เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยแสดงสินค้าที่ลูกค้าเคยดู พร้อมข้อเสนอที่น่าสนใจ วิธีนี้ช่วยเพิ่มทั้งอัตราการคลิก (CTR) และอัตราการเปลี่ยนแปลงเป็นลูกค้า (Conversion Rate)
เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง custom tag บนเว็บไซต์หรือแอปฯ เพื่อเก็บข้อมูลสินค้า เช่น ProductID เมื่อผู้ใช้เข้าชมหน้าสินค้า จากนั้นสร้าง product feed ผ่าน Google Merchant Center โดยใส่ข้อมูลสินค้าให้ครบถ้วน เช่น ชื่อสินค้า ราคา รูปภาพ และคำอธิบาย
สำหรับธุรกิจในไทย อย่าลืมตั้งค่า product feed ด้วยราคาสกุลเงิน บาท (THB) พร้อมข้อมูลภาษาไทย และอัปเดตข้อมูลสินค้าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหากมีการเปลี่ยนแปลงสต็อกหรือโปรโมชันใหม่ ๆ
การแบ่งกลุ่มสินค้าใน catalog ads ก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ เช่น การจัดกลุ่มตามหมวดหมู่สินค้า (เสื้อผ้าผู้หญิง, รองเท้า) หรือการจัดกลุ่มตามลักษณะ เช่น สินค้าขายดี, สินค้าใหม่, หรือสินค้าลดราคา นอกจากนี้ การสร้างกลุ่มเป้าหมาย (retargeting audiences) ตามพฤติกรรม เช่น ผู้ที่ดูสินค้า, ผู้ที่ใส่สินค้าในตะกร้า แต่ยังไม่ได้ซื้อ หรือผู้ที่เคยซื้อแล้ว จะช่วยให้คุณส่งข้อความที่ตรงจุดมากขึ้น
รูปภาพสินค้าควรมีคุณภาพสูง โดยใช้พื้นหลังเรียบง่าย แสงที่เหมาะสม และมุมถ่ายที่ชัดเจน ข้อความในโฆษณาก็ควรออกแบบให้เหมาะกับการแสดงผลบนมือถือ เพราะผู้บริโภคไทยส่วนใหญ่ใช้มือถือเป็นช่องทางหลักในการช้อปปิ้ง
นอกจากการโฆษณาผ่าน Dynamic Ads แล้ว การสื่อสารผ่านอีเมลยังเป็นอีกวิธีที่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แคมเปญอีเมลที่เพิ่มความเป็นส่วนตัว
เมื่อโฆษณาดึงความสนใจได้แล้ว Email marketing คือเครื่องมือที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ต่อเนื่องกับลูกค้า โดยเฉพาะเมื่อใช้งานร่วมกับกลยุทธ์หลายช่องทาง
เริ่มด้วยการแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรม เช่น ลูกค้าที่ทิ้งสินค้าในตะกร้า, ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า, หรือผู้ซื้อใหม่ จากนั้นส่งอีเมลที่ปรับเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่ม การส่งอีเมลในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็สำคัญ เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปิดอ่าน
สำหรับธุรกิจในไทย LINE Official Account เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ควรใช้ เนื่องจากกว่า 85% ของธุรกิจไทยใช้ LINE ในการให้บริการลูกค้า โปรโมชัน และการขายโดยตรง การส่งข้อความผ่าน LINE มีอัตราการเปิดที่สูงกว่าอีเมล และยังสามารถส่งข้อความได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งเหมาะกับพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่เน้นความสะดวกและรวดเร็ว
การปรับ Remarketing ให้เข้ากับตลาดไทย
การทำ Remarketing ในประเทศไทยให้ได้ผลดีนั้น จำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมและวัฒนธรรมของผู้บริโภคในประเทศอย่างลึกซึ้ง เพราะคนไทยกว่า 61% คาดหวังให้แบรนด์ปรับการสื่อสารให้ตรงกับพฤติกรรมและความชอบของพวกเขา หากใช้กลยุทธ์เดียวกันทั่วโลก อาจไม่ตอบโจทย์ในตลาดที่มีความเฉพาะตัวอย่างไทย
การสร้างโฆษณาที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคไทย
โฆษณาที่สะท้อนความเป็นไทยมักสร้างความเชื่อมโยงกับผู้บริโภคได้ดีกว่า โดยโฆษณาที่ใช้ตัวแทนท้องถิ่นมีอัตราการจดจำแบรนด์สูงกว่าโฆษณาทั่วไปถึง 2.7 เท่า การใช้ภาพและเนื้อหาที่สะท้อนเอกลักษณ์ไทย เช่น วัด, ตุ๊กตุ๊ก หรือ ตลาดนัด ช่วยสร้างความไว้วางใจและความรู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์ได้มากขึ้น
การปรับข้อความโฆษณาให้เข้ากับวัฒนธรรมและเทศกาลไทยก็สำคัญไม่แพ้กัน ตัวอย่างเช่น การใช้ภาษาไทยในโฆษณาบน Facebook มีประสิทธิภาพดีกว่าภาษาอังกฤษถึง 2.7 เท่า การเลือกใช้คำและสำนวนที่คนไทยคุ้นเคย รวมถึงการเชื่อมโยงเนื้อหาเข้ากับเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์หรือวันลอยกระทง จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ชมได้อย่างดี
การเลือกเวลาส่งข้อความให้เหมาะกับพฤติกรรมการช้อปปิ้ง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการส่งข้อความ Remarketing มีผลต่อความสำเร็จของแคมเปญอย่างมาก โดยช่วงเวลาที่ควรพิจารณาสำหรับตลาดไทย ได้แก่:
- ช่วงพักเที่ยงวันทำงาน (12:00-14:00)
- ช่วงเดินทางกลับบ้าน (17:30-19:30)
- ช่วงเย็นที่ผู้คนผ่อนคลาย (20:30-23:00)
- เช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ (09:00-11:00)
นอกจากนี้ การวางแผนแคมเปญให้สอดคล้องกับเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์หรือวันลอยกระทง สามารถเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมได้ถึง 40% การเพิ่มงบประมาณในช่วงเทศกาลช้อปปิ้งใหญ่ เช่น 11.11, 12.12 หรือปลายปี ก็ช่วยกระตุ้นยอดขายได้ดี ขณะเดียวกัน ควรลดงบประมาณในช่วงที่ผู้บริโภคมักซื้อของน้อย เช่น ช่วงตรุษจีนหรือวันสำคัญทางพุทธศาสนา
ตัวอย่างที่เห็นผลได้ชัดคือ แบรนด์สุขภาพชั้นนำในไทยที่ปรับข้อความบน LINE ให้เข้ากับวันแม่ โดยใช้ภาษาท้องถิ่นและข้อเสนอเฉพาะบุคคล ส่งผลให้อัตราการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นถึง 40% การปรับแต่งข้อความและกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับช่วงเวลาและบริบทของคนไทยเช่นนี้ ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จให้แคมเปญได้อย่างชัดเจน
การติดตามผลลัพธ์ Remarketing
การวัดผลของแคมเปญ Remarketing เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจในไทยสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยข้อมูลจากการติดตามเมตริกจะช่วยให้มองเห็นความคุ้มค่าในการลงทุน และปรับปรุงแคมเปญให้ตอบโจทย์เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
เมตริกสำคัญสำหรับ SME ไทย
ธุรกิจ SME ในไทยควรเลือกติดตามเมตริกที่เหมาะสมกับงบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ เมตริกที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่:
- Click-through Rate (CTR): แสดงถึงความน่าสนใจของโฆษณา โดยเฉพาะในตลาดไทยที่ผู้บริโภคกว่า 93% ใช้เสิร์ชเอนจินค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ
- Cost per Acquisition (CPA): ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อการได้ลูกค้าใหม่ ควรเปรียบเทียบกับมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ย (Average Order Value: AOV) และอัตรากำไรของธุรกิจ
- Return on Ad Spend (ROAS): รายได้ที่ได้รับกลับมาจากการลงทุนในโฆษณา ควรพิจารณาควบคู่กับปัจจัยอื่น เช่น ฤดูกาล โปรโมชั่น และมูลค่าตลอดอายุการใช้งานของลูกค้า (Customer Lifetime Value)
- Conversion Rate (CR): อัตราการเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้า ซึ่งมีความสำคัญมากในไทย เนื่องจากกว่า 98% ของผู้ใช้ในประเทศเข้าเว็บไซต์ผ่านสมาร์ทโฟน
- Cart Abandonment Rate: อัตราการละทิ้งตะกร้าสินค้า โดยลูกค้าเพิ่มสินค้าแต่ไม่ทำการสั่งซื้อ
- Average Time Spent on Site: ระยะเวลาที่ผู้เข้าชมใช้บนเว็บไซต์ ช่วยประเมินคุณภาพของ Traffic ที่มาจากโฆษณา
การวิเคราะห์เมตริกเหล่านี้ร่วมกัน เช่น CTR, CPA, ROAS และ CR จะช่วยให้เห็นภาพรวมของผลลัพธ์แคมเปญได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบข้อมูลแล้ว ธุรกิจสามารถนำไปใช้ปรับปรุงและทดลองแนวทางใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาได้อย่างต่อเนื่อง
การใช้ A/B Testing เพื่อพัฒนาแคมเปญ
การปรับปรุงแคมเปญ Remarketing ไม่ใช่เรื่องที่ทำเพียงครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่ต้องทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง การทำ A/B Testing เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงโฆษณา โดยการทดลองเปรียบเทียบรูปแบบต่าง ๆ เช่น การออกแบบโฆษณา ข้อความ หรือการตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย จะช่วยให้ค้นพบแนวทางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้บริโภคในไทย การทดลองนี้ยังช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ลึกซึ้งขึ้น และสามารถปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความต้องการได้มากยิ่งขึ้น
sbb-itb-4ffe5b5
สรุป: เพิ่มยอดขายด้วย Remarketing
Remarketing เป็นเครื่องมือที่ช่วยธุรกิจ SME ในไทยเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้า ปรับแต่งแคมเปญให้เหมาะสมกับตลาด และติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด ธุรกิจสามารถใช้งบประมาณโฆษณาได้อย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิผลมากขึ้น
ตัวอย่างที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ Remarketing มีศักยภาพสูง โดยผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวไว้ว่า:
"Thai SMEs have vast potential for growth through data-driven marketing. Businesses that start collecting customer data today will benefit from lower advertising costs and improved results in the future. Marketers who embrace creativity and data-driven insights will continue to reach their target audiences effectively."
- Wichaya Nilrungarattana, COO of ForeToday
พื้นฐานสำคัญของ Remarketing คือการเก็บข้อมูลลูกค้า เช่น อีเมลและเบอร์โทรศัพท์ หากธุรกิจละเลยสิ่งนี้ อาจต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายโฆษณาที่เพิ่มขึ้นถึง 20-30% ในทางกลับกัน ธุรกิจที่นำเทคโนโลยี AI และการปรับแต่งเนื้อหาเฉพาะบุคคลมาใช้ สามารถเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมได้ถึง 33% และอัตราการคลิกเพิ่มขึ้น 70% ในตลาดไทย
อีกปัจจัยที่ไม่ควรมองข้ามคือการปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย ผู้บริโภคไทยกว่า 80% ใช้โซเชียลมีเดียและเสิร์ชเอนจินในการตัดสินใจซื้อ การใช้วิดีโอสั้นและภาพที่ดึงดูดสายตาสามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้ถึง 20% โดยไม่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม การเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของคนไทยและปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ยังช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อีกด้วย
สุดท้าย การติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องถือเป็นหัวใจสำคัญของการปรับปรุง Remarketing การทำ A/B Testing และการวิเคราะห์เมตริกสำคัญช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ธุรกิจควรเริ่มต้นด้วยการทดลอง Remarketing ขนาดเล็ก พร้อมทั้งฝึกอบรมทีมงานและทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้ได้มากที่สุด
FAQs
Remarketing คืออะไร และช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจได้อย่างไร?
Remarketing คืออะไร?
Remarketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจนำเสนอ โฆษณาเฉพาะเจาะจง ให้กับผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณมาก่อน เป้าหมายหลักคือการดึงดูดความสนใจของพวกเขาอีกครั้ง และกระตุ้นให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการที่เคยสนใจ วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า เพราะคนที่เคยแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการมาก่อน มักจะมีโอกาสตอบสนองต่อโฆษณาได้ดีกว่า
ประโยชน์ของ Remarketing
- เพิ่มการจดจำแบรนด์: ผู้คนจะเห็นแบรนด์ของคุณบ่อยขึ้น ทำให้แบรนด์ติดอยู่ในความทรงจำ
- กระตุ้นยอดขายซ้ำ: โอกาสในการปิดการขายจะสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อโฆษณาเน้นไปที่สิ่งที่พวกเขาสนใจ
- การใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า: ด้วยการปรับโฆษณาให้ตรงตามความต้องการของแต่ละบุคคล Remarketing ช่วยให้คุณใช้เงินโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันสูง การทำ Remarketing จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างน่าประทับใจ!
การเริ่มต้นใช้ Dynamic Ads สำหรับ Remarketing ต้องทำอย่างไร และมีสิ่งที่ควรระวังอะไรบ้าง?
การเริ่มต้นใช้งาน Dynamic Ads สำหรับ Remarketing
การเริ่มต้นใช้งาน Dynamic Ads สำหรับ Remarketing ต้องเริ่มจากการตั้งค่าบัญชี Google Ads และ Google Analytics ให้พร้อมก่อน สิ่งสำคัญคือการสร้าง Audience List หรือรายการผู้ชมที่เหมาะสม เช่น กลุ่มคนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์หรือเคยเพิ่มสินค้าในรถเข็น แต่ยังไม่ได้ทำการสั่งซื้อ จากนั้นจึงออกแบบโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การแสดงสินค้าที่พวกเขาเคยดูหรือเคยสนใจมาก่อน
สิ่งที่ต้องระวัง
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน: อย่าลืมระบุให้ชัดเจนว่าคุณต้องการเข้าถึงใคร เพื่อให้โฆษณาไปถึงคนที่เหมาะสมที่สุด
- หลีกเลี่ยงการแสดงโฆษณาซ้ำจนเกินไป: การแสดงโฆษณาบ่อยเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกรำคาญ แทนที่จะสนใจ
- ตรวจสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง: ติดตามผลลัพธ์ของโฆษณาเป็นประจำ และปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ได้ เพื่อให้โฆษณาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากวางแผนและดำเนินการอย่างถูกต้อง Dynamic Ads สามารถช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างความสนใจในสินค้าได้อย่างดีเยี่ยม!
จะปรับกลยุทธ์ Remarketing ให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยได้อย่างไร?
การปรับกลยุทธ์ Remarketing ให้เหมาะกับผู้บริโภคในไทย
การปรับกลยุทธ์ Remarketing ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในไทย เริ่มต้นจากการเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง การใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics เป็นตัวช่วยสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเฉพาะด้าน เพื่อให้สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์พวกเขาได้อย่างตรงจุด
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในไทย เช่น Facebook และ LINE ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคไทยใช้งานบ่อย การออกแบบโฆษณาให้ดึงดูดใจจึงเป็นสิ่งจำเป็น การใช้ข้อความและภาพที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทย หรือการเสนอโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและสร้างความสนใจได้มากขึ้น
นอกจากนี้ การส่ง อีเมลส่วนตัว พร้อมข้อเสนอพิเศษที่ตรงกับความสนใจ หรือการใช้โฆษณาแบบ Dynamic Ads ที่แสดงสินค้าที่ลูกค้าเคยดูหรือค้นหาไว้ก่อนหน้า ก็เป็นวิธีที่ช่วยกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้าได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางที่ช่วยให้กลยุทธ์ Remarketing มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับตลาดไทยมากยิ่งขึ้น
