Published May 11, 2025 ⦁ 3 min read

สำรวจแนวโน้ม Engagement Rate ในตลาดไทยปี 2025 พร้อมกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่.

Engagement Rate เฉลี่ยในตลาดไทย 2025

Engagement Rate เฉลี่ยในตลาดไทย 2025

Engagement Rate หรืออัตราการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียในปี 2025 กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจไทยใช้ประเมินประสิทธิภาพของเนื้อหาและแคมเปญการตลาด โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook และ Instagram ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้:

  • Facebook: ผู้ใช้งาน 58.3 ล้านคน (82.8% ของประชากร) แต่ Engagement Rate ลดลง 36% จากปีก่อน
  • Instagram: ผู้ใช้งาน 18.5 ล้านคน (25.8% ของประชากร) Engagement Rate ลดลง 16% แต่ยังโดดเด่นด้านเนื้อหาภาพและวิดีโอ
  • นาโนอินฟลูเอนเซอร์ (1K-10K ผู้ติดตาม) มี Engagement Rate เฉลี่ยสูงถึง 5.8% บน Instagram

อุตสาหกรรมที่มี Engagement Rate สูง

  • อาหารและเครื่องดื่ม, แฟชั่นและความงาม, ท่องเที่ยว, เกมและความบันเทิง: ใช้วิดีโอสั้น, การถ่ายทอดสด และโพสต์ที่กระตุ้นการโต้ตอบ

อุตสาหกรรมที่เผชิญความท้าทาย

  • การเงิน, อสังหาริมทรัพย์, การศึกษา, ยานยนต์: ต้องปรับเนื้อหาให้ง่ายและน่าสนใจ เช่น ใช้อินโฟกราฟิกหรือวิดีโอสั้น

พฤติกรรมตามพื้นที่

  • ในเมือง: Engagement สูงกว่า เน้น Instagram และ Facebook
  • ชนบท: ใช้ LINE และ Facebook เนื้อหาท้องถิ่นได้รับความนิยม

เทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์และลอยกระทง ช่วยเพิ่ม Engagement ได้ถึง 20–40% โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทผ่านกิจกรรมท้องถิ่นและอินฟลูเอนเซอร์ขนาดเล็ก

สรุป: ธุรกิจไทยควรใช้ Engagement Rate เป็นตัวชี้วัดหลัก ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ และเน้นการใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ

Engagement Rate คือค่าอะไรคำนวณมาได้อย่างไร #การตลาดออนไลน์ #engagementrate #socialmediamarketing

อัตราการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม

ในปี 2025 อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) บนโซเชียลมีเดียในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ

ข้อมูลการใช้งาน Facebook

Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีผู้ใช้งานถึง 58.3 ล้านคน หรือคิดเป็น 82.8% ของประชากรทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราการมีส่วนร่วมลดลงถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน

สัดส่วนผู้ชมโฆษณาบน Facebook:

  • ผู้หญิง: 50.8%
  • ผู้ชาย: 49.2%

ประเภทเนื้อหาที่ได้รับความนิยม:

  • วิดีโอไลฟ์สตรีม
  • โพสต์ที่กระตุ้นการโต้ตอบ
  • เนื้อหาที่ดึงดูดผู้ใช้งานผ่านคำถามหรือกิจกรรม

จากข้อมูลนี้ Facebook ยังคงเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการเข้าถึงผู้ใช้งานจำนวนมาก แม้อัตราการมีส่วนร่วมจะลดลง

ข้อมูลการใช้งาน Instagram

Instagram มีผู้ใช้งานในประเทศไทยจำนวน 18.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 25.8% ของประชากร แม้ว่าอัตราการมีส่วนร่วมจะลดลง 16% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ Instagram ยังคงโดดเด่นในด้านการสร้างการมีส่วนร่วมผ่านเนื้อหาที่เน้นภาพและวิดีโอ

ประเภทอินฟลูเอนเซอร์ อัตราการมีส่วนร่วมเฉลี่ย
นาโนอินฟลูเอนเซอร์ (1K-10K ผู้ติดตาม) 5.8%

จุดเด่นของ Instagram:

  • สัดส่วนผู้ชมโฆษณา: ผู้หญิง 58.4% / ผู้ชาย 41.6%
  • อัตราการเข้าถึงโฆษณา: 29.4% ของกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป
  • เหมาะสำหรับการใช้งานอินฟลูเอนเซอร์และเนื้อหาภาพ

ทั้ง Facebook และ Instagram มีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ การติดตามและวิเคราะห์อัตราการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับแบรนด์และ SME ในการวางแผนการตลาดในปี 2025 อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตราการมีส่วนร่วมแยกตามอุตสาหกรรม

เมื่อวิเคราะห์การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย เราพบว่าแต่ละอุตสาหกรรมมีอัตราการตอบรับที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อหาและกลยุทธ์ที่ใช้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ

อุตสาหกรรมที่มีผลงานโดดเด่น

อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อาหารและเครื่องดื่ม, แฟชั่นและความงาม, ท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ รวมถึงเกมและความบันเทิง มีอัตราการมีส่วนร่วมที่สูงบนแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram โดยมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มการตอบสนอง ได้แก่:

  • การใช้วิดีโอที่ดึงดูดใจ: เช่น Reels และวิดีโอสั้นที่สามารถสร้างความสนใจได้อย่างรวดเร็ว
  • การสร้างปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์: ผ่านการถ่ายทอดสดหรือกิจกรรมออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับผู้ชม
  • ความสม่ำเสมอในการโพสต์: การนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่องช่วยรักษาความสนใจของผู้ติดตาม

กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้แบรนด์ในกลุ่มดังกล่าวสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อุตสาหกรรมที่มีความท้าทาย

ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, การศึกษา และยานยนต์ กลับพบความยากลำบากในการสร้างการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย เนื่องจากธรรมชาติของเนื้อหาที่มักซับซ้อนและไม่ดึงดูดความสนใจได้ง่าย

แนวทางที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ได้แก่:

  • ปรับการนำเสนอให้เข้าใจง่าย: ใช้ภาพ วิดีโอสั้น หรืออินโฟกราฟิก เพื่อช่วยให้ข้อมูลที่ซับซ้อนดูน่าสนใจและเข้าใจง่ายขึ้น
  • เน้นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์: ให้ข้อมูลที่ผู้ชมมองว่าน่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ได้จริง
  • การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง: การโพสต์อย่างสม่ำเสมอช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ในระยะยาว

ด้วยการปรับกลยุทธ์เหล่านี้ อุตสาหกรรมที่เผชิญความท้าทายอาจสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมและสร้างผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นบนโซเชียลมีเดียได้.

รูปแบบการมีส่วนร่วมตามภูมิภาค

พฤติกรรมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียในประเทศไทยแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ซึ่งสะท้อนถึงการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน

ความแตกต่างระหว่างเมืองและชนบท

ในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียสูงกว่าพื้นที่ชนบทอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วกว่าและการมีชุมชนผู้ใช้งานที่แอคทีฟมากขึ้น โดยแพลตฟอร์มยอดนิยมในแต่ละพื้นที่มีลักษณะดังนี้:

พื้นที่ แพลตฟอร์มหลัก ลักษณะเด่นของเนื้อหา
เมือง Instagram, Facebook วิดีโอสั้น, โพสต์จากอินฟลูเอนเซอร์
ชนบท LINE, Facebook เนื้อหาท้องถิ่น, การสื่อสารชุมชน

นอกจากนี้ ความแตกต่างนี้ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเฉพาะ เช่น เทศกาลและอีเวนต์สำคัญ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมในทุกภูมิภาค

อิทธิพลของเทศกาลและอีเวนต์

เทศกาลสำคัญของไทย เช่น สงกรานต์และลอยกระทง ช่วยกระตุ้นอัตราการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียให้เพิ่มขึ้นประมาณ 20–40% ทั้งในเขตเมืองและชนบท พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงการปรับตัวของผู้ใช้งานให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาลในแต่ละภูมิภาค

สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม:

  • ในพื้นที่ชนบท การมีส่วนร่วมมักจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงงานเทศกาลท้องถิ่น เช่น งานบุญประเพณีหรืองานแสดงสินค้าเกษตร
  • การใช้ผู้มีอิทธิพลขนาดเล็กในชุมชนช่วยเพิ่มความสนใจในช่วงเทศกาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
sbb-itb-4ffe5b5

เทคนิคสำหรับนักการตลาดไทย

การวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ข้อมูล แต่ยังรวมถึงการใช้เทคนิคที่ช่วยเพิ่ม Engagement Rate อย่างตรงจุด

ผลกระทบของขนาดอินฟลูเอนเซอร์

การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับ Engagement Rate ของแบรนด์ SME ได้ โดยเฉพาะในปี 2025 อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มเล็ก หรือที่เรียกว่า ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ มักมีผลลัพธ์ที่ดี เนื่องจากพวกเขามีความใกล้ชิดและเข้าถึงผู้ติดตามได้อย่างแท้จริง การเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและผลิตภัณฑ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ

วิธีการของ VenueE Performance Marketing

VenueE Performance Marketing

VenueE Performance Marketing มีแนวทางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดสำหรับธุรกิจ SME โดยเน้นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์และวัดผลได้จริง:

  • สร้างคอนเทนต์ที่เปลี่ยนผู้สนใจเป็นลูกค้า
    คอนเทนต์ที่ดีควรอิงจากข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและคุณค่าให้กับแบรนด์ พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้สนใจกลายเป็นลูกค้าได้จริง
  • ติดตามและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
    การตั้งระบบติดตามผลแบบโปร่งใส พร้อมประชุมร่วมกับทีมลูกค้าทุก 2 สัปดาห์ ช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีตามข้อมูลเรียลไทม์
  • มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่วัดได้
    การพัฒนาแคมเปญที่ไม่เพียงสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ แต่ยังสร้าง ROI ที่สามารถวัดผลได้ โดยนำเสนอคุณค่าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง

กลยุทธ์ที่เน้นผลลัพธ์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถเติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการผูกมัดด้วยสัญญาระยะยาว ทั้งยังตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

บทสรุป

ประเด็นสำคัญที่ค้นพบ

จากการวิเคราะห์ข้อมูล มีจุดที่น่าสนใจที่ควรให้ความสำคัญดังนี้:

  • การเติบโตของแพลตฟอร์ม: Facebook และ Instagram ยังคงเป็นหัวใจหลักสำหรับการทำการตลาดดิจิทัลของ SME
  • บทบาทของข้อมูล: การติดตามและวิเคราะห์ Engagement Rate เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
  • ผลกระทบในพื้นที่ต่างๆ: พฤติกรรมการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคในเขตเมืองและชนบทส่งผลต่อการออกแบบแคมเปญที่แตกต่างกัน

แนวทางสำหรับปี 2025

จากข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ แนวทางการดำเนินงานที่ควรพิจารณาในปี 2025 มีดังนี้:

  • ปรับแผนกลยุทธ์โดยอิงจากข้อมูล
    ใช้ Engagement Rate เป็นตัวชี้วัดในการตั้งเป้าหมายและจัดการงบประมาณ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ติดตามผลและปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
    ตรวจสอบผลลัพธ์ของแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับ
  • ให้ความสำคัญกับ ROI และรายได้
    แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการเพิ่มยอด like, comment หรือ share ควรให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้เป็นหลัก

แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยใช้ข้อมูลเป็นตัวนำทางสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง.

FAQs

ทำไม Engagement Rate บน Facebook และ Instagram ในประเทศไทยถึงมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 และธุรกิจควรปรับตัวอย่างไร?

ในปี 2025 การลดลงของ Engagement Rate บน Facebook และ Instagram อาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์ม, พฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป, หรือแม้แต่อัลกอริทึมที่ถูกปรับใหม่เพื่อให้ความสำคัญกับเนื้อหาคุณภาพมากขึ้น

สำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นี้ มีแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้ เช่น:

  • สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้: เน้นคอนเทนต์ที่ให้ทั้งประโยชน์และความบันเทิงที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
  • โฆษณาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น: ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับแผนการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุน (ROI)
  • ติดตามและปรับกลยุทธ์ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล: ใช้ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อประเมินผลลัพธ์ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับเอเจนซี่การตลาดที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น VenueE Performance Marketing ซึ่งเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลได้จริง อาจช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง แม้ในยุคที่โลกดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.

อุตสาหกรรมใดในไทยที่มี Engagement Rate สูงที่สุดในปี 2025 และปัจจัยสำคัญอะไรที่ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ?

ข้อมูลปัจจุบันเกี่ยวกับ Engagement Rate เฉลี่ยในปี 2025

ในปี 2025 การวิเคราะห์ Engagement Rate เฉลี่ยแสดงให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างอุตสาหกรรมและแพลตฟอร์มหลัก เช่น Facebook และ Instagram ซึ่งยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจในประเทศไทย การที่จะเพิ่ม Engagement Rate ให้สูงขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจ การใช้กลยุทธ์โฆษณาที่เจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

สำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการเพิ่ม Engagement Rate และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อย่างมีประสิทธิภาพ VenueE Performance Marketing พร้อมให้บริการด้าน Performance Marketing ซึ่งเน้นการวัดผลที่ชัดเจนและช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจคุณในระยะยาว

พฤติกรรมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียในพื้นที่เมืองและชนบทแตกต่างกันอย่างไร และธุรกิจควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมได้อย่างไร?

พฤติกรรมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย: เมือง vs ชนบทในประเทศไทย

พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียของคนไทยในพื้นที่เมืองและชนบทมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความแตกต่างนี้มักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่

ในพื้นที่เมือง ผู้ใช้งานมักชื่นชอบความรวดเร็วและหลากหลาย เช่น การติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ หรือการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและการเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ

ในพื้นที่ชนบท การใช้งานโซเชียลมีเดียมักเน้นไปที่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ครอบครัว หรือเรื่องราวที่ใกล้ตัวมากกว่า สะท้อนถึงความสำคัญของสายสัมพันธ์และคุณค่าในชีวิตประจำวันที่ยังคงเป็นหัวใจหลักของผู้คนในพื้นที่เหล่านี้

แนวทางสำหรับธุรกิจในการเข้าถึงผู้บริโภค

ธุรกิจที่ต้องการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม:

  • พื้นที่เมือง: ใช้โฆษณาที่กระตุ้นความสนใจได้ทันที เช่น การนำเสนอโปรโมชั่นที่ชัดเจนหรือคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์เทรนด์ปัจจุบัน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่มองหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
  • พื้นที่ชนบท: เน้นเนื้อหาที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้ง่าย พร้อมทั้งสื่อสารถึงคุณค่าในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความเชื่อมโยงและความไว้วางใจในระยะยาว

การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ