สำรวจแนวโน้ม Engagement Rate ในตลาดไทยปี 2025 พร้อมกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่.

Engagement Rate เฉลี่ยในตลาดไทย 2025
Engagement Rate หรืออัตราการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียในปี 2025 กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ธุรกิจไทยใช้ประเมินประสิทธิภาพของเนื้อหาและแคมเปญการตลาด โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook และ Instagram ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้:
- Facebook: ผู้ใช้งาน 58.3 ล้านคน (82.8% ของประชากร) แต่ Engagement Rate ลดลง 36% จากปีก่อน
- Instagram: ผู้ใช้งาน 18.5 ล้านคน (25.8% ของประชากร) Engagement Rate ลดลง 16% แต่ยังโดดเด่นด้านเนื้อหาภาพและวิดีโอ
- นาโนอินฟลูเอนเซอร์ (1K-10K ผู้ติดตาม) มี Engagement Rate เฉลี่ยสูงถึง 5.8% บน Instagram
อุตสาหกรรมที่มี Engagement Rate สูง
- อาหารและเครื่องดื่ม, แฟชั่นและความงาม, ท่องเที่ยว, เกมและความบันเทิง: ใช้วิดีโอสั้น, การถ่ายทอดสด และโพสต์ที่กระตุ้นการโต้ตอบ
อุตสาหกรรมที่เผชิญความท้าทาย
- การเงิน, อสังหาริมทรัพย์, การศึกษา, ยานยนต์: ต้องปรับเนื้อหาให้ง่ายและน่าสนใจ เช่น ใช้อินโฟกราฟิกหรือวิดีโอสั้น
พฤติกรรมตามพื้นที่
- ในเมือง: Engagement สูงกว่า เน้น Instagram และ Facebook
- ชนบท: ใช้ LINE และ Facebook เนื้อหาท้องถิ่นได้รับความนิยม
เทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์และลอยกระทง ช่วยเพิ่ม Engagement ได้ถึง 20–40% โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทผ่านกิจกรรมท้องถิ่นและอินฟลูเอนเซอร์ขนาดเล็ก
สรุป: ธุรกิจไทยควรใช้ Engagement Rate เป็นตัวชี้วัดหลัก ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ และเน้นการใช้ข้อมูลวิเคราะห์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญ
Engagement Rate คือค่าอะไรคำนวณมาได้อย่างไร #การตลาดออนไลน์ #engagementrate #socialmediamarketing
อัตราการมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์ม
ในปี 2025 อัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) บนโซเชียลมีเดียในประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ
ข้อมูลการใช้งาน Facebook
Facebook ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีผู้ใช้งานถึง 58.3 ล้านคน หรือคิดเป็น 82.8% ของประชากรทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม อัตราการมีส่วนร่วมลดลงถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน
สัดส่วนผู้ชมโฆษณาบน Facebook:
- ผู้หญิง: 50.8%
- ผู้ชาย: 49.2%
ประเภทเนื้อหาที่ได้รับความนิยม:
- วิดีโอไลฟ์สตรีม
- โพสต์ที่กระตุ้นการโต้ตอบ
- เนื้อหาที่ดึงดูดผู้ใช้งานผ่านคำถามหรือกิจกรรม
จากข้อมูลนี้ Facebook ยังคงเป็นช่องทางสำคัญสำหรับการเข้าถึงผู้ใช้งานจำนวนมาก แม้อัตราการมีส่วนร่วมจะลดลง
ข้อมูลการใช้งาน Instagram
Instagram มีผู้ใช้งานในประเทศไทยจำนวน 18.5 ล้านคน หรือคิดเป็น 25.8% ของประชากร แม้ว่าอัตราการมีส่วนร่วมจะลดลง 16% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่ Instagram ยังคงโดดเด่นในด้านการสร้างการมีส่วนร่วมผ่านเนื้อหาที่เน้นภาพและวิดีโอ
ประเภทอินฟลูเอนเซอร์ | อัตราการมีส่วนร่วมเฉลี่ย |
---|---|
นาโนอินฟลูเอนเซอร์ (1K-10K ผู้ติดตาม) | 5.8% |
จุดเด่นของ Instagram:
- สัดส่วนผู้ชมโฆษณา: ผู้หญิง 58.4% / ผู้ชาย 41.6%
- อัตราการเข้าถึงโฆษณา: 29.4% ของกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป
- เหมาะสำหรับการใช้งานอินฟลูเอนเซอร์และเนื้อหาภาพ
ทั้ง Facebook และ Instagram มีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ การติดตามและวิเคราะห์อัตราการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องจึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับแบรนด์และ SME ในการวางแผนการตลาดในปี 2025 อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราการมีส่วนร่วมแยกตามอุตสาหกรรม
เมื่อวิเคราะห์การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย เราพบว่าแต่ละอุตสาหกรรมมีอัตราการตอบรับที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อหาและกลยุทธ์ที่ใช้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจ
อุตสาหกรรมที่มีผลงานโดดเด่น
อุตสาหกรรมบางประเภท เช่น อาหารและเครื่องดื่ม, แฟชั่นและความงาม, ท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ รวมถึงเกมและความบันเทิง มีอัตราการมีส่วนร่วมที่สูงบนแพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram โดยมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มการตอบสนอง ได้แก่:
- การใช้วิดีโอที่ดึงดูดใจ: เช่น Reels และวิดีโอสั้นที่สามารถสร้างความสนใจได้อย่างรวดเร็ว
- การสร้างปฏิสัมพันธ์แบบเรียลไทม์: ผ่านการถ่ายทอดสดหรือกิจกรรมออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับผู้ชม
- ความสม่ำเสมอในการโพสต์: การนำเสนอเนื้อหาที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่องช่วยรักษาความสนใจของผู้ติดตาม
กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้แบรนด์ในกลุ่มดังกล่าวสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อุตสาหกรรมที่มีความท้าทาย
ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการธนาคาร, อสังหาริมทรัพย์, การศึกษา และยานยนต์ กลับพบความยากลำบากในการสร้างการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย เนื่องจากธรรมชาติของเนื้อหาที่มักซับซ้อนและไม่ดึงดูดความสนใจได้ง่าย
แนวทางที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ได้แก่:
- ปรับการนำเสนอให้เข้าใจง่าย: ใช้ภาพ วิดีโอสั้น หรืออินโฟกราฟิก เพื่อช่วยให้ข้อมูลที่ซับซ้อนดูน่าสนใจและเข้าใจง่ายขึ้น
- เน้นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์: ให้ข้อมูลที่ผู้ชมมองว่าน่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ได้จริง
- การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง: การโพสต์อย่างสม่ำเสมอช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ในระยะยาว
ด้วยการปรับกลยุทธ์เหล่านี้ อุตสาหกรรมที่เผชิญความท้าทายอาจสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมและสร้างผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นบนโซเชียลมีเดียได้.
รูปแบบการมีส่วนร่วมตามภูมิภาค
พฤติกรรมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียในประเทศไทยแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท ซึ่งสะท้อนถึงการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน
ความแตกต่างระหว่างเมืองและชนบท
ในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียสูงกว่าพื้นที่ชนบทอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วกว่าและการมีชุมชนผู้ใช้งานที่แอคทีฟมากขึ้น โดยแพลตฟอร์มยอดนิยมในแต่ละพื้นที่มีลักษณะดังนี้:
พื้นที่ | แพลตฟอร์มหลัก | ลักษณะเด่นของเนื้อหา |
---|---|---|
เมือง | Instagram, Facebook | วิดีโอสั้น, โพสต์จากอินฟลูเอนเซอร์ |
ชนบท | LINE, Facebook | เนื้อหาท้องถิ่น, การสื่อสารชุมชน |
นอกจากนี้ ความแตกต่างนี้ยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเฉพาะ เช่น เทศกาลและอีเวนต์สำคัญ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการมีส่วนร่วมในทุกภูมิภาค
อิทธิพลของเทศกาลและอีเวนต์
เทศกาลสำคัญของไทย เช่น สงกรานต์และลอยกระทง ช่วยกระตุ้นอัตราการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียให้เพิ่มขึ้นประมาณ 20–40% ทั้งในเขตเมืองและชนบท พฤติกรรมนี้สะท้อนถึงการปรับตัวของผู้ใช้งานให้เข้ากับบรรยากาศของเทศกาลในแต่ละภูมิภาค
สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
- ในพื้นที่ชนบท การมีส่วนร่วมมักจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงงานเทศกาลท้องถิ่น เช่น งานบุญประเพณีหรืองานแสดงสินค้าเกษตร
- การใช้ผู้มีอิทธิพลขนาดเล็กในชุมชนช่วยเพิ่มความสนใจในช่วงเทศกาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
sbb-itb-4ffe5b5
เทคนิคสำหรับนักการตลาดไทย
การวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ข้อมูล แต่ยังรวมถึงการใช้เทคนิคที่ช่วยเพิ่ม Engagement Rate อย่างตรงจุด
ผลกระทบของขนาดอินฟลูเอนเซอร์
การเลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่เหมาะสมสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับ Engagement Rate ของแบรนด์ SME ได้ โดยเฉพาะในปี 2025 อินฟลูเอนเซอร์กลุ่มเล็ก หรือที่เรียกว่า ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ มักมีผลลัพธ์ที่ดี เนื่องจากพวกเขามีความใกล้ชิดและเข้าถึงผู้ติดตามได้อย่างแท้จริง การเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและผลิตภัณฑ์จึงเป็นเรื่องสำคัญ
วิธีการของ VenueE Performance Marketing
VenueE Performance Marketing มีแนวทางที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตลาดสำหรับธุรกิจ SME โดยเน้นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์และวัดผลได้จริง:
-
สร้างคอนเทนต์ที่เปลี่ยนผู้สนใจเป็นลูกค้า
คอนเทนต์ที่ดีควรอิงจากข้อมูลพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและคุณค่าให้กับแบรนด์ พร้อมทั้งกระตุ้นให้ผู้สนใจกลายเป็นลูกค้าได้จริง -
ติดตามและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
การตั้งระบบติดตามผลแบบโปร่งใส พร้อมประชุมร่วมกับทีมลูกค้าทุก 2 สัปดาห์ ช่วยให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้ทันทีตามข้อมูลเรียลไทม์ -
มุ่งเน้นผลลัพธ์ที่วัดได้
การพัฒนาแคมเปญที่ไม่เพียงสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์ แต่ยังสร้าง ROI ที่สามารถวัดผลได้ โดยนำเสนอคุณค่าที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
กลยุทธ์ที่เน้นผลลัพธ์เหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจ SME สามารถเติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการผูกมัดด้วยสัญญาระยะยาว ทั้งยังตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
บทสรุป
ประเด็นสำคัญที่ค้นพบ
จากการวิเคราะห์ข้อมูล มีจุดที่น่าสนใจที่ควรให้ความสำคัญดังนี้:
- การเติบโตของแพลตฟอร์ม: Facebook และ Instagram ยังคงเป็นหัวใจหลักสำหรับการทำการตลาดดิจิทัลของ SME
- บทบาทของข้อมูล: การติดตามและวิเคราะห์ Engagement Rate เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- ผลกระทบในพื้นที่ต่างๆ: พฤติกรรมการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคในเขตเมืองและชนบทส่งผลต่อการออกแบบแคมเปญที่แตกต่างกัน
แนวทางสำหรับปี 2025
จากข้อมูลที่ได้วิเคราะห์ แนวทางการดำเนินงานที่ควรพิจารณาในปี 2025 มีดังนี้:
-
ปรับแผนกลยุทธ์โดยอิงจากข้อมูล
ใช้ Engagement Rate เป็นตัวชี้วัดในการตั้งเป้าหมายและจัดการงบประมาณ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด -
ติดตามผลและปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
ตรวจสอบผลลัพธ์ของแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รับ -
ให้ความสำคัญกับ ROI และรายได้
แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการเพิ่มยอด like, comment หรือ share ควรให้ความสำคัญกับการสร้างรายได้เป็นหลัก
แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยใช้ข้อมูลเป็นตัวนำทางสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคง.
FAQs
ทำไม Engagement Rate บน Facebook และ Instagram ในประเทศไทยถึงมีแนวโน้มลดลงในปี 2025 และธุรกิจควรปรับตัวอย่างไร?
ในปี 2025 การลดลงของ Engagement Rate บน Facebook และ Instagram อาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในแพลตฟอร์ม, พฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไป, หรือแม้แต่อัลกอริทึมที่ถูกปรับใหม่เพื่อให้ความสำคัญกับเนื้อหาคุณภาพมากขึ้น
สำหรับธุรกิจที่ต้องการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์นี้ มีแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้ เช่น:
- สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ผู้ใช้: เน้นคอนเทนต์ที่ให้ทั้งประโยชน์และความบันเทิงที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
- โฆษณาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น: ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อปรับแผนการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุน (ROI)
- ติดตามและปรับกลยุทธ์ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูล: ใช้ข้อมูลเชิงสถิติเพื่อประเมินผลลัพธ์ และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับเอเจนซี่การตลาดที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น VenueE Performance Marketing ซึ่งเน้นการสร้างผลลัพธ์ที่สามารถวัดผลได้จริง อาจช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง แม้ในยุคที่โลกดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว.
อุตสาหกรรมใดในไทยที่มี Engagement Rate สูงที่สุดในปี 2025 และปัจจัยสำคัญอะไรที่ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ?
ข้อมูลปัจจุบันเกี่ยวกับ Engagement Rate เฉลี่ยในปี 2025
ในปี 2025 การวิเคราะห์ Engagement Rate เฉลี่ยแสดงให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างอุตสาหกรรมและแพลตฟอร์มหลัก เช่น Facebook และ Instagram ซึ่งยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจในประเทศไทย การที่จะเพิ่ม Engagement Rate ให้สูงขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดใจ การใช้กลยุทธ์โฆษณาที่เจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการเพิ่ม Engagement Rate และผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อย่างมีประสิทธิภาพ VenueE Performance Marketing พร้อมให้บริการด้าน Performance Marketing ซึ่งเน้นการวัดผลที่ชัดเจนและช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจคุณในระยะยาว
พฤติกรรมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียในพื้นที่เมืองและชนบทแตกต่างกันอย่างไร และธุรกิจควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมได้อย่างไร?
พฤติกรรมการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย: เมือง vs ชนบทในประเทศไทย
พฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดียของคนไทยในพื้นที่เมืองและชนบทมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อความแตกต่างนี้มักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละพื้นที่
ในพื้นที่เมือง ผู้ใช้งานมักชื่นชอบความรวดเร็วและหลากหลาย เช่น การติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ หรือการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบและการเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ในพื้นที่ชนบท การใช้งานโซเชียลมีเดียมักเน้นไปที่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับชุมชน ครอบครัว หรือเรื่องราวที่ใกล้ตัวมากกว่า สะท้อนถึงความสำคัญของสายสัมพันธ์และคุณค่าในชีวิตประจำวันที่ยังคงเป็นหัวใจหลักของผู้คนในพื้นที่เหล่านี้
แนวทางสำหรับธุรกิจในการเข้าถึงผู้บริโภค
ธุรกิจที่ต้องการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม:
- พื้นที่เมือง: ใช้โฆษณาที่กระตุ้นความสนใจได้ทันที เช่น การนำเสนอโปรโมชั่นที่ชัดเจนหรือคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์เทรนด์ปัจจุบัน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่มองหาสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
- พื้นที่ชนบท: เน้นเนื้อหาที่เรียบง่ายและเข้าถึงได้ง่าย พร้อมทั้งสื่อสารถึงคุณค่าในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความเชื่อมโยงและความไว้วางใจในระยะยาว
การเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
