Published Jun 4, 2025 ⦁ 5 min read

เรียนรู้การใช้ Facebook Pixel และ Remarketing เพื่อเพิ่ม ROAS อย่างมีประสิทธิภาพใน 5 ขั้นตอนที่ง่ายดาย.

Facebook Pixel กับ Remarketing: เพิ่ม ROAS ง่ายๆ ใน 5 ขั้นตอน

Facebook Pixel กับ Remarketing: เพิ่ม ROAS ง่ายๆ ใน 5 ขั้นตอน

อยากเพิ่มยอดขายจากโฆษณา? เริ่มต้นด้วย Facebook Pixel และ Remarketing!

Facebook Pixel (หรือ Meta Pixel) เป็นเครื่องมือที่ช่วยติดตามพฤติกรรมผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณ และนำข้อมูลนี้มาทำโฆษณาแบบ Remarketing เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการ พร้อมเพิ่ม ROAS (Return on Ad Spend) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุปง่ายๆ ใน 5 ขั้นตอน:

  1. ติดตั้ง Facebook Pixel: ติดตั้งโค้ด Pixel บนเว็บไซต์เพื่อเก็บข้อมูลผู้ใช้งาน
  2. สร้าง Custom Audiences: แบ่งกลุ่มเป้าหมายจากพฤติกรรม เช่น ผู้ที่ดูสินค้าแต่ยังไม่ซื้อ
  3. เปิดตัวแคมเปญ: ตั้งค่าโฆษณาและทดสอบเนื้อหาเพื่อหาสิ่งที่ใช่
  4. ใช้ Lookalike Audiences: ขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่คล้ายกับลูกค้าเดิม
  5. ปรับแต่งแคมเปญ: ใช้ข้อมูลจาก Pixel เพื่อปรับปรุงโฆษณาให้ดีขึ้น

ตัวอย่างผลลัพธ์:

  • Remarketing Ads เพิ่มอัตราการคลิก (CTR) มากกว่าโฆษณาทั่วไปถึง 76%
  • โฆษณา Retargeting ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้ถึง 70%

เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการติดตั้ง Facebook Pixel บนเว็บไซต์ของคุณ แล้วใช้งาน Remarketing เพื่อให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ที่สุด!

ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้ง Facebook Pixel

Facebook Pixel

สร้าง Facebook Pixel ใน Business Manager

เริ่มต้นด้วยการสร้าง Facebook Pixel ผ่าน Meta Events Manager ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการติดตามข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์

"Meta Business Manager is one of those tools that most social media managers use every day." - Brandwatch

ขั้นตอนการสร้าง Pixel:

  • เข้าไปที่ Meta Events Manager แล้วคลิก "Connect data" จากนั้นเลือก "Web".
  • คลิก "Create new dataset" เพื่อเริ่มสร้างชุดข้อมูลใหม่.
  • ตั้งชื่อ dataset ให้เหมาะสม เช่น "เว็บไซต์หลัก-2025" หรือ "ร้านค้าออนไลน์-Pixel" แล้วกด "Create".
  • เลือกวิธีการเชื่อมต่อข้อมูล: "Get guidance" สำหรับผู้เริ่มต้น หรือ "Do it yourself" หากมีประสบการณ์.

สำหรับธุรกิจในประเทศไทย ควรเลือก "Get guidance" เพื่อช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มความมั่นใจในขั้นตอนการติดตั้ง

ติดตั้ง Facebook Pixel บนเว็บไซต์

หลังจากสร้าง Pixel แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการติดตั้งบนเว็บไซต์ ซึ่งหนึ่งในวิธีที่สะดวกที่สุดสำหรับธุรกิจในไทยคือการใช้ Google Tag Manager. วิธีนี้ช่วยให้จัดการโค้ดติดตามได้ง่ายโดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดเว็บไซต์โดยตรง

การติดตั้งแบบ Manual:

ขั้นตอน รายละเอียด
1 เข้าไปที่ Meta Events Manager และเลือกการเชื่อมต่อข้อมูลแบบ Web
2 ตั้งชื่อและสร้าง Pixel ของคุณ
3 เลือกวิธีเชื่อมต่อข้อมูล: Get guidance หรือ Do it yourself
4 เลือก Conversions API และ Meta Pixel หรือเฉพาะ Meta Pixel
5 คัดลอก Pixel Base Code ที่ได้รับ
6 วางโค้ดที่ส่วนท้ายของ <head> ก่อนแท็กปิด </head> ในทุกหน้าเว็บ

หากธุรกิจของคุณใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มี partner integration เช่น Shopify หรือ WooCommerce ควรเลือกวิธีนี้แทนการติดตั้งแบบ Manual เพราะช่วยลดข้อผิดพลาดและประหยัดเวลา.

ข้อควรระวัง:
สำหรับเว็บไซต์ที่มีเวอร์ชันมือถือและเดสก์ท็อปแยกกัน ควรติดตั้ง Pixel ในทั้งสองเวอร์ชันเพื่อให้ครอบคลุมการติดตามผู้ใช้.

ตรวจสอบการติดตั้ง Pixel ด้วย Pixel Helper

Pixel Helper เป็นเครื่องมือเสริมของ Chrome ที่ช่วยตรวจสอบการทำงานของ Pixel โดยสามารถระบุข้อผิดพลาดและให้คำแนะนำในการปรับปรุงได้แบบเรียลไทม์.

เพียงเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณและคลิกที่ไอคอน Pixel Helper คุณจะสามารถตรวจสอบได้ว่า Pixel ถูกติดตั้งและทำงานได้ถูกต้องหรือไม่ รวมถึงดูข้อมูลเกี่ยวกับ event ต่าง ๆ ที่ถูกบันทึก.

เคล็ดลับการใช้ Pixel Helper:

  • ดาวน์โหลดและติดตั้ง Facebook Pixel Helper จาก Chrome extension.
  • เข้าเว็บไซต์ของคุณแล้วเปิด Pixel Helper เพื่อตรวจสอบสถานะ Pixel และดูว่ามีข้อผิดพลาดใด ๆ หรือไม่.
  • ทดสอบ event อย่างเช่น การเพิ่มสินค้าลงตะกร้า เพื่อยืนยันว่า Pixel ทำงานได้ตามที่คาดหวัง.

เมื่อคุณติดตั้ง Pixel เสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้างและจัดการกลุ่มเป้าหมาย (Custom Audiences) เพื่อเริ่มต้นการทำ Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพ.

วิธีวาง Facebook Pixel เพื่อทำโฆษณา Remarketing (Advance)

ขั้นตอนที่ 2: สร้าง Custom Audiences สำหรับ Remarketing

เมื่อคุณติดตั้ง Facebook Pixel เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้างกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (Custom Audiences) เพื่อใช้ในการทำ Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพ การแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ เนื่องจากผู้ที่ถูก Retarget มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าสูงกว่าผู้ใช้ใหม่ถึง 70%

การแบ่งกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ โดย Facebook Pixel จะช่วยให้คุณสามารถแบ่งกลุ่มผู้เยี่ยมชมตามการกระทำเฉพาะ เช่น การดูหน้าสินค้า การเพิ่มสินค้าในตะกร้า หรือการเริ่มต้นขั้นตอนชำระเงิน

ตัวอย่างการแบ่งกลุ่มที่เหมาะกับธุรกิจในไทย:

  • ผู้เยี่ยมชมหน้าสินค้า
    กลุ่มนี้คือผู้ที่เข้าดูสินค้าแต่ยังไม่ได้เพิ่มลงตะกร้า เหมาะสำหรับการส่งโฆษณาที่เน้นจุดเด่นของสินค้า หรือเสนอโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดความสนใจ
  • ผู้ทิ้งตะกร้า
    กลุ่มนี้คือผู้ที่เพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้สั่งซื้อ เป็นกลุ่มที่มีโอกาสซื้อสูง ควรใช้โฆษณาที่เสนอส่วนลดพิเศษหรือการจัดส่งฟรีเพื่อกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อ
  • ผู้เริ่มขั้นตอนการชำระเงิน
    กลุ่มนี้คือผู้ที่เข้าสู่หน้าชำระเงินแล้วแต่ยังไม่ได้ซื้อจริง ควรใช้โฆษณาที่ผลักดันให้พวกเขากลับมาทำรายการให้เสร็จ เช่น การเสนอรหัสส่วนลดพิเศษ

"Segment based on product category visited. Show ads about products from category 1 to users who viewed category 1 on the website. This will allow you to increase the relevance of each ad." - Sebastien Godin, Performance Marketers

การแบ่งกลุ่มตามหมวดหมู่สินค้าจะช่วยให้โฆษณามีความเกี่ยวข้องมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้เข้าดูสินค้าหมวดเสื้อผ้าผู้หญิง คุณควรแสดงโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงกับสินค้าประเภทนี้ แทนที่จะใช้โฆษณาที่ครอบคลุมสินค้าทั้งหมด

การตั้งค่าระยะเวลาการเก็บข้อมูล

การเลือกระยะเวลาการเก็บข้อมูล (Retention Period) ที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะช่วยให้การทำ Remarketing มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดไทยที่พฤติกรรมการตัดสินใจซื้ออาจแตกต่างกันไป

คำแนะนำสำหรับระยะเวลาการเก็บข้อมูลในแต่ละกลุ่ม:

  • ผู้ทิ้งตะกร้า
    ตั้งระยะเวลา 10-14 วัน เนื่องจากหลังจากสองสัปดาห์ ความสนใจในการซื้อสินค้าจะลดลงอย่างมาก
  • ผู้เยี่ยมชมหน้าสินค้า
    ตั้งระยะเวลา 7-30 วัน โดยขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้าและระยะเวลาที่ลูกค้าใช้ในการตัดสินใจ
  • ลูกค้าเก่า
    ตั้งระยะเวลา 30-180 วัน เพื่อกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ หรือทดลองสินค้าใหม่ ๆ

การตั้งค่าที่เหมาะสมทั้งในด้านกลุ่มเป้าหมายและระยะเวลาการเก็บข้อมูลจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการทำ Remarketing และส่งผลให้แคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น!

ขั้นตอนที่ 3: เปิดตัวและทดสอบแคมเปญ Remarketing

หลังจากสร้างกลุ่มเป้าหมายในขั้นตอนที่ 2 เสร็จสมบูรณ์แล้ว การเปิดตัวแคมเปญ Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นก้าวสำคัญต่อไป การตั้งค่าที่เหมาะสมและการทดสอบอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ใช้งบโฆษณาได้คุ้มค่าที่สุด

การเลือก Campaign Objective ที่เหมาะสม

Campaign Objective เป็นตัวกำหนดทิศทางของแคมเปญ Remarketing และส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ที่ได้ หากเลือกผิด อาจทำให้งบโฆษณาสูญเปล่า.

"Know the objective of buying Ads as it determines Mood & Tone, and the outcome or how the Ads work would depend on the set objective."

  • คุณมัณฑิตา จินดา (ทิพย์), MD และ Founder ของ Digital Tips Academy

Facebook แบ่ง Campaign Objective ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ Awareness, Consideration, และ Conversion สำหรับตลาดในประเทศไทย ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับ Remarketing คือ:

  • Conversion: เหมาะสำหรับธุรกิจ E-commerce ที่ต้องการยอดขาย อัลกอริทึมจะช่วยค้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าจริง.
  • Consideration: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้าง Lead หรือให้ลูกค้าติดต่อสอบถามก่อนตัดสินใจซื้อ.

การเลือก Objective ที่เหมาะสมควรควบคู่กับการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย.

การสร้างเนื้อหาโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

การใช้ข้อมูลจาก Facebook Pixel สามารถช่วยปรับแต่งเนื้อหาโฆษณาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายได้ การใช้ Dynamic Ads เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยแสดงสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้งานโดยอัตโนมัติ.

"Facebook remarketing ads have been shown to get 3X the engagement compared to regular ads".

ตัวอย่างจากแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ:

  • Eton Shirts ใช้ Facebook retargeting ads แบบ carousel เพื่อแสดงสินค้าที่ลูกค้าเคยใส่ในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อในปี 2025 ช่วยกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ.
  • Yumi Kim ใช้ dynamic retargeting ads เพื่อแสดงสินค้าที่ผู้เยี่ยมชมเคยดูหรือสนใจ ทำให้โฆษณามีความเฉพาะตัวมากขึ้น.

สิ่งสำคัญในการสร้างเนื้อหา:

  • ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้ว่าควรทำอะไรต่อ.
  • รักษาความสอดคล้องระหว่างโฆษณาและหน้า Landing Page เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่น.

สถิติที่น่าสนใจคือ Retargeting ads มีโอกาสถูกคลิกมากกว่าโฆษณาทั่วไปถึง 76% และ Dynamic Remarketing Ads สามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้สูงถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับโฆษณาแบบทั่วไป.

การทดสอบ A/B เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์

การทดสอบ A/B เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับแต่งแคมเปญ Remarketing โดยช่วยให้คุณคัดเลือกองค์ประกอบที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด เช่น การเลือกภาพ, ข้อความ, หรือ CTA ที่เหมาะสม การทดสอบนี้ช่วยลดความเสี่ยงและให้ข้อมูลที่แม่นยำสำหรับการตัดสินใจ.

การทดสอบและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพของกลยุทธ์ Remarketing ของคุณได้ในระยะยาว.

ขั้นตอนที่ 4: เทคนิคขั้นสูงเพื่อเพิ่ม ROAS

หลังจากที่คุณได้เริ่มต้นแคมเปญ Remarketing แล้ว การนำเทคนิคขั้นสูงมาใช้สามารถช่วยพัฒนาแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่ม ROAS และตอบโจทย์ธุรกิจในประเทศไทยที่ต้องการทั้งการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย

การใช้ Lookalike Audiences

Lookalike Audiences เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหากลุ่มลูกค้าใหม่ โดยอ้างอิงจากข้อมูลของลูกค้าปัจจุบัน Facebook จะวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เช่น ประชากรศาสตร์ ความสนใจ และพฤติกรรมของลูกค้าต้นแบบ เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีโอกาสสนใจสินค้าหรือบริการของคุณ.

"Many Facebook advertisers, us included, are reliant on Lookalike Audiences as their highest performing cold audiences. It's where you're able to scale your campaigns, [and where] you get your best cold audience results from: they're absolutely fantastic. We use them for almost every single client." - Ben Heath, Founder, Heath Media

การสร้าง Source Audience ที่มีคุณภาพ
เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลจากลูกค้าคุณภาพ เช่น รายชื่อลูกค้าเดิมหรือผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ ขนาดของ Source Audience ที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 1,000–5,000 คน ซึ่งควรเป็นกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องและมีคุณค่ากับธุรกิจของคุณมากที่สุด.

การเลือกขนาด Lookalike Audience
ขนาดของ Lookalike Audience มีผลต่อความสำเร็จของแคมเปญ หากเลือกกลุ่มขนาดเล็ก (1-2%) จะได้กลุ่มที่มีความคล้ายคลึงกับ Source Audience มากที่สุด ซึ่งมักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่หากต้องการขยายการเข้าถึง สามารถเลือกกลุ่มขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยแลกกับความคล้ายคลึงที่ลดลง.

อีกสิ่งที่ควรทราบคือ Facebook จะอัปเดต Lookalike Audiences ของคุณโดยอัตโนมัติผ่านข้อมูลจาก Pixel และคุณสามารถสร้าง Lookalike Audiences ได้สูงสุด 500 กลุ่มต่อ Source Audience หนึ่งกลุ่ม.

กลยุทธ์การทดสอบและปรับแต่ง
การทดสอบเป็นหัวใจสำคัญของการเพิ่ม ROAS ลองกำหนดโฆษณาเดียวกันให้กับหลายกลุ่ม Lookalike Audiences พร้อมตั้งค่าการประมูลเริ่มต้นเท่ากัน จากนั้นปรับเปลี่ยนตามผลลัพธ์ เช่น เพิ่มการประมูลในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนดี และลดการประมูลในกลุ่มที่ผลตอบแทนต่ำ.

การปรับแต่งกลยุทธ์การประมูลสำหรับตลาดไทย

นอกจากการใช้ Lookalike Audiences แล้ว การปรับกลยุทธ์การประมูลก็มีบทบาทสำคัญในการเพิ่ม ROAS โดยเฉพาะในตลาดไทยที่พฤติกรรมผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นหลัก มีผู้ใช้งาน Facebook ผ่านมือถือถึงกว่า 90%.

แนวทางการจัดการงบประมาณ
เริ่มต้นด้วยงบประมาณรายวันประมาณ ฿200–฿500 เพื่อทดลองกับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายก่อนที่จะขยายขนาด สำหรับธุรกิจที่มีงบประมาณมากขึ้น การใช้งบประมาณแบบ lifetime อาจช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น และอย่าลืมทำการทดสอบ A/B เพื่อหากลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ.

sbb-itb-4ffe5b5

สรุปและประเด็นสำคัญ

Facebook Pixel และ Remarketing ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ROAS (Return on Ad Spend) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตลาดไทยที่มีผู้ใช้งาน Facebook มากกว่า 50 ล้านคน และส่วนใหญ่ใช้งานผ่านมือถือ การทำ Remarketing ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าได้อย่างแม่นยำ โดยมีข้อมูลจากการศึกษาระบุว่าผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ได้รับโฆษณา retargeting มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้ามากขึ้นถึง 70%

สรุป 5 ขั้นตอนหลัก

ขั้นตอนที่ 1: ติดตั้ง Facebook Pixel
เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง Facebook Pixel บนเว็บไซต์ เพื่อเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้เยี่ยมชม และนำมาใช้ในแคมเปญ Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนที่ 2: สร้าง Custom Audiences
กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงจากพฤติกรรมการใช้งานของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ เพื่อให้โฆษณาตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

ขั้นตอนที่ 3: เปิดตัวและทดสอบแคมเปญ
ใช้ A/B Testing เพื่อทดลองและค้นหาโฆษณาที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทยได้ดีที่สุด

ขั้นตอนที่ 4: เทคนิคขั้นสูง
นำ Lookalike Audiences มาใช้เพื่อขยายฐานลูกค้า พร้อมปรับกลยุทธ์การประมูลให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ

ข้อมูลเพิ่มเติมแสดงว่าโฆษณา Retargeting มีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่าโฆษณาทั่วไปถึง 10 เท่า และ 44% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำ หากได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัว

"A good ROAS for Facebook ads at minimum would be anything from 4:1 or higher. A ROAS of 4:1 means that for every $1 invested in ads, the business is getting back $4 in revenue, indicating a positive return on investment." - Sotrender

คำแนะนำสำหรับธุรกิจในไทย

การใช้ Facebook Pixel และ Remarketing อย่างถูกวิธีสามารถช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของแคมเปญได้อย่างชัดเจน แต่ความสำเร็จในระยะยาวขึ้นอยู่กับการปรับปรุงและทดสอบแคมเปญอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง Facebook Pixel ให้ถูกต้อง และสร้างกลุ่มเป้าหมายจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ลูกค้าเดิม หรือผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับเพจ Facebook หรือ Instagram ของคุณ

สำหรับธุรกิจในไทย การใช้เนื้อหาภาษาไทยและภาพที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมไทยจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความเชื่อมโยงกับผู้บริโภค นอกจากนี้ การติดตามตัวชี้วัดสำคัญอย่าง CTR, CPC และ ROAS จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งแคมเปญให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

การเรียนรู้และพัฒนาทักษะการใช้เครื่องมืออย่าง Facebook Pixel และ Remarketing จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตในตลาดดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงในประเทศไทยได้อย่างมั่นคง

FAQs

Facebook Pixel คืออะไร และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำ Remarketing ได้อย่างไร?

Facebook Pixel คืออะไร?

Facebook Pixel คือโค้ดเล็กๆ ที่คุณสามารถติดตั้งบนเว็บไซต์ของคุณเพื่อเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่น การเข้าชมหน้าเว็บ การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า หรือการสั่งซื้อสินค้า ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์มากสำหรับการสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ โดยเฉพาะสำหรับการทำ Remarketing

Remarketing ทำงานอย่างไร?

Remarketing คือการแสดงโฆษณาให้กับผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณมาก่อน เป้าหมายคือการดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้พวกเขากลับมาดำเนินการ เช่น ซื้อสินค้าหรือใช้บริการอีกครั้ง การใช้ Facebook Pixel ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ที่ได้? ROAS (ผลตอบแทนจากค่าโฆษณา) ของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะโฆษณาที่แสดงจะสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น!

การใช้ Lookalike Audiences ช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของแคมเปญโฆษณาได้อย่างไร?

การใช้ Lookalike Audiences เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา

Lookalike Audiences เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ใช้ใหม่ที่มีพฤติกรรมหรือความสนใจใกล้เคียงกับลูกค้าปัจจุบันของคุณ ซึ่งหมายความว่าคุณมีโอกาสที่จะดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ที่พร้อมจะตอบสนองต่อโฆษณาของคุณได้มากขึ้น ระบบจะใช้ข้อมูลจากลูกค้าที่มีอยู่แล้ว เช่น ผู้ที่เคยซื้อสินค้าหรือมีปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาของคุณ เพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีโอกาสสูงในการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ของคุณ

ข้อดีอีกอย่างของการตั้งค่า Lookalike Audiences คือช่วยลดเวลาและค่าใช้จ่ายที่มักเกิดขึ้นจากการทดลองหากลุ่มเป้าหมายใหม่ ระบบจะทำการกรองและเลือกผู้ใช้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแคมเปญของคุณโดยอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเพิ่ม ROAS (Return on Ad Spend) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากขึ้นในระยะยาว

ควรเลือกวัตถุประสงค์ของแคมเปญ Facebook Ads อย่างไร เพื่อเพิ่มยอดขายในประเทศไทย?

สำหรับธุรกิจไทยที่ต้องการเพิ่มยอดขายด้วย Facebook Ads

หากคุณกำลังมองหาวิธีเพิ่มยอดขายผ่าน Facebook Ads ในประเทศไทย การเลือกวัตถุประสงค์แคมเปญที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้วัตถุประสงค์แบบ Conversions ซึ่งออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้งานดำเนินการซื้อสินค้าหรือบริการโดยตรง วิธีนี้เหมาะกับการเพิ่มยอดขายในตลาดไทยอย่างตรงจุดและได้ผลลัพธ์ที่ดี

สำหรับธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลาย การเลือกใช้วัตถุประสงค์ Catalog Sales เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะช่วยให้คุณสามารถแสดงสินค้าที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้งานในโฆษณาได้โดยอัตโนมัติ ทำให้มีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้น

การเลือกวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องไม่ได้แค่ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย แต่ยังช่วยให้คุณใช้ งบโฆษณา ได้อย่างคุ้มค่าและสร้างรายได้ในตลาดท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ