เรียนรู้เกี่ยวกับ Facebook Remarketing ที่ช่วยเพิ่ม ROI ได้ถึง 300% และเทคนิคการตั้งค่าเพื่อดึงดูดลูกค้าเก่า.

Facebook Remarketing คืออะไร? เพิ่ม ROI ได้ถึง 300% ด้วยเทคนิคนี้
Facebook Remarketing คือการแสดงโฆษณาให้กับคนที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพจ Facebook/Instagram ของคุณ เพื่อกระตุ้นให้พวกเขากลับมาซื้อสินค้า/บริการอีกครั้ง เทคนิคนี้เพิ่ม ROI ได้ถึง 300% และช่วยลดต้นทุนโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจในไทยที่ Facebook มีผู้ใช้งานกว่า 30 ล้านคนต่อเดือน.
สรุปจุดเด่นของ Facebook Remarketing
- เพิ่มโอกาสซื้อ: โอกาสปิดการขายสูงกว่าลูกค้าใหม่ถึง 70%.
- ลดปัญหา Cart Abandonment: ดึงลูกค้าที่เพิ่มสินค้าในตะกร้ากลับมาซื้อ.
- ปรับเป้าหมายโฆษณาได้แม่นยำ: ใช้ Meta Pixel และ Custom Audiences เพื่อติดตามพฤติกรรมลูกค้า.
- เหมาะกับตลาดไทย: ผู้ใช้งานกว่า 93% เข้าผ่านมือถือ และนิยมโฆษณาที่ปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย.
เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการติดตั้ง Meta Pixel บนเว็บไซต์ของคุณ และใช้ข้อมูลสร้างแคมเปญ Remarketing ที่ตรงเป้าหมาย เพื่อเพิ่มยอดขายและ ROI อย่างยั่งยืน.
การตั้งค่า Facebook Remarketing สำหรับธุรกิจไทย
การติดตั้งและตั้งค่า Meta Pixel
Meta Pixel คือรหัส Javascript ที่คุณต้องเพิ่มลงในเว็บไซต์ เพื่อช่วยติดตามพฤติกรรมของผู้เยี่ยมชมและการกระทำต่าง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณ นี่เป็นขั้นตอนสำคัญอันดับแรกในการสร้างแคมเปญ Remarketing ที่มีผลลัพธ์ดี
วิธีสร้าง Meta Pixel:
เริ่มต้นด้วยการเข้าไปที่ Meta Events Manager แล้วคลิกที่ "Connect data" จากนั้นเลือก "Web" ตั้งชื่อ Pixel ของคุณให้เข้าใจง่าย เช่น "PixelShopThai2024" หรือ "MyBrandThailand" แล้วคลิก "Create pixel"
การติดตั้งรหัส Pixel:
คุณสามารถเลือกได้ 2 วิธีในการติดตั้ง:
- ติดตั้งด้วยตัวเอง: คัดลอกรหัส Pixel base code แล้ววางไว้ใน
<head>
ของทุกหน้าบนเว็บไซต์ ก่อนแท็ก</head>
- ใช้ Partner Integration: หากคุณใช้บริการจากพาร์ทเนอร์ เช่น Shopify หรือ WordPress ให้เลือกพาร์ทเนอร์และทำตามคำแนะนำบนหน้าจอ
การตั้งค่า Events สำหรับธุรกิจในไทย:
หลังจากติดตั้ง Pixel แล้ว คุณควรกำหนด Events เพื่อเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการดาวน์โหลดไฟล์ โดยสามารถใช้ Event Setup Tool หรือเพิ่มรหัสเองบนเว็บไซต์ได้
การตรวจสอบการติดตั้ง:
เพื่อให้แน่ใจว่า Pixel ทำงานได้ถูกต้อง ให้ใช้ส่วนขยาย Meta Pixel Helper สำหรับ Chrome หรือเครื่องมือ Test Events Tool ใน Events Manager หาก Pixel ไม่ทำงาน คุณจะไม่สามารถเก็บข้อมูลที่จำเป็นสำหรับ Remarketing ได้
เมื่อ Pixel พร้อมใช้งานแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการสร้าง Custom Audiences เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับแคมเปญของคุณ
การสร้าง Custom Audiences
Custom Audiences เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถ "รีทาร์เก็ต" ผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ ซึ่งการใช้กลุ่มเป้าหมายนี้สามารถเพิ่มอัตราการเปลี่ยนผู้สนใจเป็นลูกค้าได้ถึง 70% เมื่อเทียบกับการเข้าถึงลูกค้าใหม่
สร้างกลุ่มเป้าหมายจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์:
ใช้ Facebook Pixel ในการสร้างกลุ่มเป้าหมายจากผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่น:
- ผู้ที่เข้าชมหน้าสินค้าเฉพาะเจาะจง
- ผู้ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแต่ยังไม่ได้สั่งซื้อ
สร้างกลุ่มเป้าหมายจากการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย:
คุณสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายจากผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์หรือโฆษณาบน Facebook และ Instagram ของคุณ กลุ่มนี้มักเป็นคนที่สนใจในสินค้าหรือบริการของคุณอยู่แล้ว
ใช้ข้อมูลลูกค้าเก่า:
อัปโหลดรายชื่ออีเมลของลูกค้าเก่าลงในระบบ เพื่อสร้าง Custom Audience ที่ช่วยให้คุณเข้าถึงลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าแล้ว และนำเสนอสินค้าใหม่หรือโปรโมชั่นพิเศษ
การปรับให้เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในไทย:
ผู้บริโภคชาวไทยมีลักษณะการใช้งานแบบ mobile-first โดยกว่า 90% ของผู้ใช้ Facebook ในประเทศไทยเข้าถึงผ่านอุปกรณ์มือถือ การออกแบบแคมเปญที่เหมาะกับมือถือจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในประเทศ.
การปรับปรุงแคมเปญ Facebook Remarketing ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
การแบ่งกลุ่มผู้ชมตามพฤติกรรมผู้บริโภคไทย
การแบ่งกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำคือหัวใจสำคัญของการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สำหรับแคมเปญ Remarketing โดยเฉพาะในประเทศไทยที่พฤติกรรมผู้บริโภคมักได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและสังคม รวมถึงการปรับตัวระหว่างสิ่งใหม่และค่านิยมเดิม
แบ่งกลุ่มตามระยะเวลาการเยี่ยมชมเว็บไซต์:
ลองสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แยกตามช่วงเวลาที่ผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ เช่น กลุ่มที่เข้าชมในช่วง 7 วัน, 14 วัน และ 30 วัน ผู้ที่เข้าชมในช่วง 7 วันแรกมักมีความสนใจสูง ควรใช้ข้อความที่กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจทันที ในขณะที่ผู้เข้าชมในช่วง 30 วัน ควรได้รับข้อเสนอพิเศษเพื่อดึงดูดความสนใจอีกครั้ง
แบ่งกลุ่มตามพฤติกรรมการซื้อ:
สำหรับผู้ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน (Cart Abandoners) ควรแยกออกจากผู้ที่เพียงแค่ดูสินค้า เพราะกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อสูงกว่า โดยสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้ถึง 5.4 เท่าในช่วง 7 วันแรก การส่งข้อความที่ระบุว่า “สินค้าในตะกร้ายังรอคุณอยู่” หรือเสนอส่วนลดพิเศษ 10-15% สามารถช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แบ่งกลุ่มตามพื้นที่ภูมิศาสตร์:
ประเทศไทยมีความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภาษาในแต่ละภูมิภาค การสร้างแคมเปญที่ตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่จึงสำคัญ เช่น หากคุณเป็นธุรกิจส่งอาหารในกรุงเทพฯ คุณอาจสร้างโฆษณาที่แยกตามย่าน โดยเน้นเมนูอาหารและเวลาจัดส่งที่เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละพื้นที่
นอกจากนี้ สถิติยังชี้ให้เห็นว่า 93% ของผู้บริโภคไทยใช้เสิร์ชเอนจินเพื่อค้นหาข้อมูลสินค้าและบริการก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างกลุ่มเป้าหมายโดยใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
เมื่อคุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการสร้างเนื้อหาโฆษณาที่สามารถเข้าถึงใจผู้บริโภคไทยได้อย่างแท้จริง
การสร้างเนื้อหาโฆษณาที่เข้าถึงใจผู้บริโภคไทย
การสร้างคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและความสนใจของคนไทยสามารถเพิ่มความสำเร็จให้กับแคมเปญ Remarketing ได้อย่างมาก โดยเฉพาะเนื้อหาภาษาไทยที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเนื้อหาภาษาอังกฤษถึง 2.7 เท่า และวิดีโอคอนเทนต์ยังได้รับการมีส่วนร่วมสูงกว่าโพสต์รูปภาพถึง 3.2 เท่าใน Facebook ของไทย
ใช้เทศกาลและวันสำคัญของไทย:
ปรับแคมเปญให้เข้ากับเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์ ลอยกระทง วันแม่ หรือวันพ่อ ตัวอย่างเช่น ในช่วงสงกรานต์ คุณอาจโปรโมตสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางกลับบ้านหรือของขวัญสำหรับครอบครัว ขณะที่ช่วงลอยกระทงอาจเน้นธีมที่เกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์
ใช้ภาพและฉากที่สะท้อนวิถีชีวิตไทย:
การเลือกใช้ภาพและฉากที่สะท้อนวิถีชีวิตของคนไทยอย่างแท้จริงช่วยสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ชมได้ดียิ่งขึ้น และหากเพิ่มองค์ประกอบที่ทันสมัยเข้าไปด้วย จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สอนยิงเเอด Facebook Retarget - Remarketing | ตามไปหลอกหลอนทุกที่ - Ep.2
การวัดผล ROI และผลลัพธ์แคมเปญ
การวัดผลแคมเปญ Remarketing อย่างถูกต้องสามารถเพิ่ม ROI ได้สูงถึง 300% หลังจากที่คุณสร้างโฆษณาที่เข้าถึงใจผู้บริโภคชาวไทยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการติดตามและวิเคราะห์ผลลัพธ์ เพื่อปรับแคมเปญให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ด้านล่างนี้คือวิธีคำนวณ ROAS และ LTV ที่เหมาะสำหรับตลาดไทย
การคำนวณ ROAS และ LTV สำหรับตลาดไทย
Return on Ad Spend (ROAS) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้คุณทราบว่าการลงทุนในโฆษณา 1 บาทสร้างรายได้กลับมาเท่าไหร่ ส่วน Customer Lifetime Value (LTV) ใช้คาดการณ์กำไรสุทธิที่ลูกค้าจะสร้างให้คุณตลอดช่วงเวลาที่พวกเขาเป็นลูกค้าของคุณ.
"Return on Ad Spend (ROAS) is a marketing metric that measures revenue earned for each dollar you spend on advertising." - CDP.com Staff
การคำนวณ ROAS:
สูตรคือ ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา
ตัวอย่างเช่น หากคุณใช้เงินโฆษณา 10,000 บาท และสร้างรายได้ 50,000 บาท ROAS จะเท่ากับ 5:1 หรือ 500% หมายความว่าทุก 1 บาทที่ลงทุน คุณจะได้รายได้กลับมา 5 บาท
ค่า ROAS ที่เหมาะสม:
โดยทั่วไป ROAS ที่ดีควรอยู่ระหว่าง 400% ถึง 500% หรือในอัตราส่วน 4:1 ซึ่งหมายความว่าทุก 1 บาทที่ลงทุนควรได้รายได้กลับมา 4 บาท
สำหรับธุรกิจในประเทศไทย ค่าเฉลี่ย ROAS ที่ดีสำหรับ Facebook Ads มักอยู่ที่ประมาณ 3:1.
การคำนวณ LTV:
สูตรคือ LTV = (มูลค่าการซื้อเฉลี่ย) × (จำนวนครั้งที่ซื้อเฉลี่ย) × (อายุลูกค้าเฉลี่ยเป็นปี)
ตัวอย่าง: ถ้าลูกค้ามีมูลค่าการซื้อเฉลี่ย 1,500 บาท ซื้อ 4 ครั้งต่อปี และเป็นลูกค้า 2 ปี LTV จะเท่ากับ 1,500 × 4 × 2 = 12,000 บาท
การใช้ Excel คำนวณ ROAS:
ใน Excel ให้ใส่รายได้ในเซลล์ B1 และค่าใช้จ่ายในเซลล์ B2 ใช้สูตร =B1/B2 ในเซลล์ B3 เพื่อคำนวณ ROAS หากต้องการแสดงผลเป็นเปอร์เซ็นต์ ให้ใช้สูตร =(B1/B2)*100 แล้วตั้งค่ารูปแบบเซลล์เป็น %.
การตั้งค่าการติดตามการแปลง (Conversion Tracking)
การติดตามการแปลงที่ถูกต้องเป็นหัวใจสำคัญของการวัดผล ROI โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ผู้บริโภคกว่า 96.2% ใช้อินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ.
หลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้าง Custom Audiences ด้วย Meta Pixel แล้ว การติดตาม Conversion จะช่วยให้คุณประเมินผลลัพธ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หากต้องการติดตั้ง Pixel คุณสามารถดูคำแนะนำในส่วนการตั้งค่า Meta Pixel และนำไปใช้งานร่วมกับ Conversion Tracking
การใช้ Conversion API:
Meta's Conversion API เป็นเครื่องมือที่ช่วยเชื่อมต่อข้อมูลการตลาดจากเซิร์ฟเวอร์ไปยังแพลตฟอร์มของ Meta ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเหมาะมากในยุคที่ข้อจำกัดด้านความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น.
ตัวอย่างความสำเร็จจริง:
Nissan United Thailand ใช้ Meta's Conversion API ผ่านบริการของ Monks เพื่อจัดการข้อมูลการเข้าชมและพฤติกรรมผู้ใช้ ผลลัพธ์ที่ได้คืออัตราการแปลงเพิ่มขึ้น 96% อัตราการแปลงโดยรวมเพิ่มขึ้น 30% และต้นทุนต่อการแปลงลดลงถึง 45%.
"We were excited by the idea of making the Facebook algorithm smarter by giving it signals coming from our proprietary data, as we heavily rely on it to locate our best customers. We have improved our Facebook campaign efficiency across the board since installing Conversions API, which has had a great impact on the business." - Anuwat Eiamsa-art, Head of Data, Tech, and Analytics, Nissan United Thailand
การติดตามและวิเคราะห์ที่แม่นยำนี้เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาแคมเปญให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งคุณจะได้เห็นตัวอย่างเพิ่มเติมในกรณีศึกษาต่อไป.
กรณีศึกษา: ความสำเร็จของ SME ไทยในการเพิ่ม ROI ด้วย Facebook Remarketing
กรณีศึกษานี้เผยให้เห็นถึงพลังของ Facebook Remarketing ผ่านเรื่องราวของธุรกิจไทยที่นำเทคนิคนี้ไปใช้จริง หลังจากทำความเข้าใจ ROAS และ Conversion แล้ว เรามาดูกันว่าธุรกิจเหล่านี้นำกลยุทธ์ไปปรับใช้อย่างไรเพื่อผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ
ภูมิหลังธุรกิจและเป้าหมาย
Araya Global Co., Ltd. เป็นบริษัทไทยที่เริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางดิจิทัล คุณนิชาภา วชิรพงษ์ ผู้จัดการของบริษัท ได้กล่าวถึงความสำคัญของการตลาดบน Facebook ว่า:
"Aside from investing capital into your products and office expenses, Facebook marketing is a crucial expense for any business. And if you don't manage it well, there is a high probability that your business will not succeed." - Nichapa Wachirapong, Manager at Araya Global Co.,Ltd.
อีกหนึ่งตัวอย่างคือ Nakarin Food & Health ที่เริ่มต้นจากยอดขายเพียง 10,000 บาทต่อเดือน โดยตั้งเป้าหมายเติบโตจนมีรายได้หลักล้านบาท
ต่อไปเราจะมาดูว่าแต่ละธุรกิจใช้ Remarketing อย่างไรเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
วิธีการ Remarketing ที่ใช้
Araya Global Co., Ltd. ใช้กลยุทธ์ Remarketing ที่เน้นสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่จับต้องได้ โดยใช้เทคนิคสำคัญดังนี้:
- การสร้าง Custom Audiences และ Lookalike Audiences: ใช้ข้อมูลลูกค้าเดิมมาสร้างกลุ่ม Lookalike Audiences เพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีความคล้ายคลึงกัน วิธีนี้ช่วยเพิ่มอัตราการแปลงและทำให้การกำหนดเป้าหมายโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น.
- การใช้ Video-First Strategy: เนื่องจากโพสต์วิดีโอสร้างการมีส่วนร่วมสูงกว่าโพสต์ลิงก์ถึง 73% Araya จึงเลือกสร้างคอนเทนต์วิดีโอที่ดึงดูดสายตาตั้งแต่แรกเห็น พร้อมใส่ข้อมูลสำคัญไว้ในช่วงต้นของวิดีโอ.
- การจัดการแคมเปญแบบเรียลไทม์: ทีมงานใช้ Meta Pixel เพื่อติดตามและปรับเปลี่ยนเป้าหมายของแคมเปญในแบบเรียลไทม์.
Nakarin Food & Health เลือกใช้กลยุทธ์ที่ผสมผสานระหว่าง Prospecting และ Retargeting พร้อมกับใช้ฟีเจอร์การกำหนดเป้าหมายขั้นสูงของ Facebook เพื่อเข้าถึงผู้ชมเฉพาะกลุ่ม โดยอิงจากข้อมูลประชากรศาสตร์ ความสนใจ และพฤติกรรม.
ผลลัพธ์จากกลยุทธ์เหล่านี้สามารถวัดผลได้อย่างชัดเจนจากตัวเลขที่น่าประทับใจ
ผลลัพธ์สุดท้ายและตัวเลข
Araya Global Co., Ltd. ประสบความสำเร็จในการเพิ่ม ROI ได้ถึง 10 เท่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือน โดยมีผลลัพธ์ที่โดดเด่นดังนี้:
- ROI เพิ่มขึ้น 10 เท่า จากการขายสินค้าออนไลน์.
- ขยายฐานลูกค้าเกิน 200,000 คน พร้อมอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้าเก่ามากกว่า 40%.
สำหรับ Nakarin Food & Health ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่แพ้กัน:
- ROI เพิ่มขึ้น 300% ภายในระยะเวลา 1 ปี.
- ยอดขายเติบโตจาก 10,000 บาทต่อเดือน เป็นมากกว่า 1,000,000 บาท.
sbb-itb-4ffe5b5
ขั้นตอนต่อไปสำหรับ Facebook Remarketing ของคุณ
เมื่อได้เห็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจจากกรณีศึกษาที่ผ่านมา ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณจะนำแนวทางเหล่านั้นมาปรับใช้กับแคมเปญของคุณ การดำเนินการอย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่ม ROI และสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้สำหรับธุรกิจของคุณ
สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง
จากข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า Facebook Remarketing สามารถเพิ่ม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น มีโอกาสเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าเพิ่มขึ้นกว่า 70% และลดการทิ้งตะกร้าสินค้าลงได้ถึง 6.5%
เริ่มต้นด้วยการติดตั้ง Facebook Pixel บนเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเก็บข้อมูลการเยี่ยมชมและพฤติกรรมของผู้ใช้ จากนั้น สร้าง Custom Audiences โดยใช้ข้อมูลจากผู้เข้าชมหน้าเว็บไซต์เฉพาะ หรือการซื้อสินค้าที่เคยเกิดขึ้น.
กำหนดงบประมาณเริ่มต้น 150–300 บาทต่อวัน และปรับเปลี่ยนตามผลลัพธ์ การตั้งค่า Frequency Cap ไว้ที่ 3–4 ครั้งต่อสัปดาห์ต่อผู้ใช้ จะช่วยควบคุมการแสดงโฆษณาไม่ให้มากเกินไป.
อย่าลืมตรวจสอบและปรับปรุงแคมเปญอย่างสม่ำเสมอ โดยให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดสำคัญ เช่น CTR, อัตราการแปลง และ ROAS นอกจากนี้ การทดลองกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายจะช่วยให้คุณค้นพบส่วนผสมที่เหมาะสมที่สุด.
สำหรับธุรกิจ E-commerce การใช้ Dynamic Ads เพื่อแสดงสินค้าที่ลูกค้าเคยดูจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย. และอย่าลืมแยกลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าออกจากกลุ่มเป้าหมาย retargeting เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น.
หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่มั่นคงและต่อเนื่อง การทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้อาจเป็นตัวเลือกที่ดี
การทำงานร่วมกับ VenueE Performance Marketing
หลังจากที่คุณได้ลองปรับแคมเปญด้วยตัวเองแล้ว หากต้องการยกระดับผลลัพธ์ VenueE Performance Marketing พร้อมช่วยเหลือคุณ เราเป็น 1 ใน 30 เอเจนซี่ในไทยที่ได้รับการรับรองเป็น Meta Badged Partner อย่างเป็นทางการ ซึ่งหมายความว่าเรามีความรู้และเครื่องมือที่ทันสมัยจาก Meta เพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต
เรามุ่งเน้นการให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและจับต้องได้ ไม่ใช่แค่ยอดไลก์หรือคอมเมนต์ คุณจะได้รับ กลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะกับตลาดในไทย พร้อมการรายงานผลที่โปร่งใส เราทำงานบน บัญชีธุรกิจของคุณเอง ไม่ใช่ของเอเจนซี่ เพื่อให้คุณสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างเต็มที่
ที่สำคัญ เราไม่มีสัญญาผูกมัด ให้บริการแบบรายเดือนที่ยืดหยุ่น พร้อม ประชุมร่วมทุก 2 สัปดาห์ เพื่อปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยเราทำงานเป็น พาร์ทเนอร์ร่วมกับทีม In-house ของคุณ ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการ
ด้วยประสบการณ์การจัดการงบโฆษณามากกว่า 150 ล้านบาทต่อปี และให้บริการแก่ แบรนด์กว่า 100 ราย เราพร้อมช่วยให้ Facebook Remarketing ของคุณสร้าง ROI ที่เพิ่มขึ้นได้ถึง 300% เช่นเดียวกับกรณีศึกษาที่คุณได้เห็น
หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นเส้นทางการเติบโต VenueE Performance Marketing ยินดีที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ที่ช่วยผลักดันธุรกิจของคุณไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
FAQs
Facebook Remarketing คืออะไร และทำไมถึงช่วยเพิ่ม ROI ได้มากขึ้น?
Facebook Remarketing คืออะไร?
Facebook Remarketing คือการโฆษณาที่เจาะจงไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมเว็บไซต์, กดไลก์เพจ, หรือแม้กระทั่งเพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ซื้อ จุดเด่นของการทำ Remarketing อยู่ที่การเข้าถึงผู้ที่มีความสนใจในแบรนด์อยู่แล้ว ทำให้มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าได้ง่ายขึ้น
ทำไม Facebook Remarketing ถึงช่วยเพิ่ม ROI ได้?
เหตุผลที่ Facebook Remarketing ช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้ดีกว่า เพราะมันมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมายที่ "อุ่น" หรือคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้มักมีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อโฆษณาได้ดีกว่าผู้ที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์มาก่อน
อีกข้อดีที่สำคัญคือ ค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) มักจะถูกกว่าการโฆษณาแบบทั่วไป นั่นหมายความว่า คุณสามารถใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่า และยังได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากขึ้นอีกด้วย!
การติดตั้ง Meta Pixel บนเว็บไซต์ทำได้ยากหรือไม่ และมีคำแนะนำเบื้องต้นอย่างไร?
การติดตั้ง Meta Pixel บนเว็บไซต์
การติดตั้ง Meta Pixel ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หลายคนคิด คุณสามารถทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ได้ดังนี้:
- สร้าง Meta Pixel: เข้าไปที่ Meta Business Suite แล้วเลือกเมนู Events Manager เพื่อสร้าง Pixel ของคุณ
- คัดลอกโค้ด Pixel: เมื่อระบบสร้าง Pixel ให้แล้ว ให้นำโค้ดที่ได้มาคัดลอกเก็บไว้
- ติดตั้งโค้ดบนเว็บไซต์: นำโค้ด Pixel ไปติดตั้งบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบแมนนวล หรือผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มที่รองรับ เช่น Shopify หรือ WordPress
เคล็ดลับเพิ่มเติม
เพื่อให้ Meta Pixel ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ คุณควรตั้งค่าการติดตามเหตุการณ์สำคัญ เช่น การคลิกปุ่มสั่งซื้อ หรือการลงทะเบียนบนเว็บไซต์ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงแคมเปญโฆษณาได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การใช้ Pixel เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายจากผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำ Remarketing ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย!
การสร้าง Custom Audiences และ Lookalike Audiences ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างไร และมีขั้นตอนการสร้างอย่างไร?
การสร้าง Custom Audiences และ Lookalike Audiences
การสร้าง Custom Audiences และ Lookalike Audiences ถือเป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Custom Audiences ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เช่น ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือผู้ที่เคยมีส่วนร่วมกับโพสต์บน Facebook ในขณะที่ Lookalike Audiences ใช้ข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าเดิมเพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีพฤติกรรมหรือความสนใจคล้ายกัน ซึ่งสามารถเพิ่มอัตราการแปลงและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างชัดเจน
วิธีสร้าง Custom Audiences
- เลือกแหล่งข้อมูล: เช่น รายชื่ออีเมล, ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือผู้ที่เคยดูวิดีโอใน Facebook
- กำหนดเงื่อนไข: เช่น ระบุช่วงเวลาที่ลูกค้าเคยเข้าชมเว็บไซต์ (30 วัน, 60 วัน หรือมากกว่านั้น)
วิธีสร้าง Lookalike Audiences
- เลือกแหล่งข้อมูลต้นทาง (Source Audience): โดยใช้ Custom Audiences ที่ได้สร้างไว้
- กำหนดขนาดของกลุ่มเป้าหมาย: ขนาดสามารถปรับได้ตั้งแต่ 1%-10% ของประชากรในพื้นที่เป้าหมาย โดยขนาดที่เล็กกว่าจะมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับกลุ่มต้นทางมากกว่า
การใช้ Custom Audiences และ Lookalike Audiences ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีโอกาสสนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสปิดการขายได้มากขึ้นและใช้ทรัพยากรโฆษณาได้อย่างคุ้มค่า.
