เรียนรู้วิธีปรับกลยุทธ์ Remarketing ให้มีประสิทธิภาพในยุคที่การติดตามผู้ใช้ถูกจำกัด ด้วยข้อมูล First-Party และ Server-Side Tracking.

Remarketing ในยุค iOS 14.5+ - วิธีปรับกลยุทธ์ให้ยังได้ผล
iOS 14.5+ และ App Tracking Transparency (ATT) ทำให้การติดตามผู้ใช้ข้ามแอปและเว็บไซต์ยากขึ้น ส่งผลให้ข้อมูลสำหรับการทำโฆษณาลดลงอย่างมาก ธุรกิจจึงต้องปรับตัวเพื่อให้กลยุทธ์ Remarketing ยังคงมีประสิทธิภาพ
วิธีแก้ปัญหา:
- เก็บข้อมูล First-Party: สร้างฐานข้อมูลลูกค้าโดยตรง เช่น อีเมลหรือ CRM
- ใช้ Server-Side Tracking: เช่น Facebook Conversions API เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
- ขยายกลุ่มเป้าหมาย (Broader Targeting): ใช้ข้อมูล Demographics และ Interests แทน
- กระจายช่องทางโฆษณา: ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มเดียว
ผลกระทบที่สำคัญ:
- ข้อมูล IDFA ลดลง > 90% ผู้ใช้เลือกไม่ให้ติดตาม
- ขนาดกลุ่มเป้าหมายลดลง 10–30%
- การวัดผล Conversion ยากขึ้น เนื่องจากการปรับ Attribution Window เหลือ 7 วัน
สรุปง่ายๆ: การใช้ข้อมูลลูกค้าแบบ First-Party และเทคโนโลยีติดตามใหม่ เช่น Server-Side Tracking จะช่วยให้ธุรกิจยังคงแข่งขันได้ในยุคที่ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ถูกยกระดับ
How To Retarget on Facebook After iOS 14
การเปลี่ยนแปลงของ Remarketing ในยุค iOS 14.5+
การอัปเดต iOS 14.5+ ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีการทำ remarketing โดยเฉพาะในแง่ต้นทุนโฆษณาที่เพิ่มขึ้นและความสามารถในการติดตามที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในประเทศไทยที่พึ่งพาการโฆษณาออนไลน์เป็นหลัก
ผลกระทบของ App Tracking Transparency (ATT)
App Tracking Transparency (ATT) เป็นฟีเจอร์ที่กำหนดให้แอปต้องขออนุญาตจากผู้ใช้ก่อนที่จะติดตามกิจกรรมข้ามแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ต่าง ๆ หากผู้ใช้เลือก "Ask App not to Track" แอปจะไม่สามารถเข้าถึง Identifier for Advertisers (IDFA) ซึ่งเป็นรหัสเฉพาะที่ใช้สำหรับการติดตาม
"ATT is a feature that requires app makers to ask for your permission to track you across iPhone apps and services." - Kate O'Flaherty, Senior Contributor, Forbes
ในประเทศไทย อัตราการยินยอมให้ติดตามอยู่ที่เพียง 42% ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่ในประเทศเลือกที่จะไม่ให้แอปติดตามข้อมูล การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อ Facebook Pixel ซึ่งทำให้ความแม่นยำของรายการ remarketing ลดลง และอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด เช่น การรวมกลุ่มเป้าหมายที่ไม่ตรงตามความต้องการของธุรกิจ
สำหรับธุรกิจ e-commerce ในไทยที่เคยพึ่งพา custom audiences จากการเก็บข้อมูลผู้ใช้ผ่านเว็บไซต์ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ขนาดกลุ่มเป้าหมายลดลงอย่างมาก ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ โดยหันไปใช้ข้อมูล demographics และ interests ที่มีอยู่ในแพลตฟอร์มโฆษณาของ Facebook แทน นอกจากนี้ ความท้าทายยังเกิดขึ้นในด้านการวัดผลลัพธ์จากการโฆษณา ซึ่งต้องเผชิญกับข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของ Attribution และการรายงานผล
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยังส่งผลกระทบต่อการวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) โดยตรง เนื่องจากการเชื่อมโยงระหว่าง advertising touchpoints และการกระทำของผู้ใช้กลายเป็นเรื่องยากขึ้น Multi-touch attribution ซึ่งเคยเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์เส้นทางการซื้อของผู้ใช้ ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ iPhone ที่แชร์ IDFA ลดลงจาก 70% เหลือเพียง 10% หลังการอัปเดต iOS 14.5
นอกจากนี้ การย่นระยะเวลาของ attribution window จาก 28 วันสำหรับการคลิก และ 1 วันสำหรับการดู เหลือเพียง 7 วันสำหรับการคลิก และ 1 วันสำหรับการดู ส่งผลให้รายงาน conversions ลดลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับธุรกิจ retail และ e-commerce ในไทยที่มี customer journey ยาวนาน การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่าการแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 7 จะไม่ถูกนับรวมในผลลัพธ์โฆษณา ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจมีข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ในอนาคต
การสร้างระบบเก็บข้อมูล First-Party Data
หลังจากการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับ iOS 14.5+ ซึ่งลดความสามารถในการติดตามข้อมูล third-party ธุรกิจในไทยจึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างระบบเก็บข้อมูลลูกค้าของตัวเองมากขึ้น การใช้ first-party data ช่วยให้การทำ remarketing ยังคงมีประสิทธิภาพ แม้ข้อมูล third-party จะถูกจำกัดไปก็ตาม การปรับตัวครั้งนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับธุรกิจไทยในการใช้ข้อมูลที่ตนเองเก็บได้อย่างเต็มที่
จากสถิติพบว่า 92% ของนักการตลาด มองว่า first-party data เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ และการใช้ข้อมูลแบบนี้สามารถเพิ่มรายได้ได้ถึง 2.9 เท่า พร้อมลดต้นทุนได้ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับการไม่ใช้ข้อมูลดังกล่าว นอกจากนี้ ในบริบทของประเทศไทย 97.9% ของผู้บริโภคไทย ยินดีแบ่งปันข้อมูลของตนผ่านแพลตฟอร์มอย่าง LINE หากได้รับประโยชน์ที่ชัดเจน เช่น การปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของผู้บริโภคไทยในการแชร์ข้อมูลเมื่อเห็นผลตอบแทนที่คุ้มค่า
การเก็บข้อมูลลูกค้าโดยตรง
Zero-party data คือข้อมูลที่ลูกค้าส่งมาให้แบรนด์โดยตรง โดยมีแรงจูงใจ เช่น ส่วนลดหรือเนื้อหาพิเศษ วิธีนี้ช่วยให้การเก็บข้อมูลเป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การสร้าง Email Lists และ CRM Database โดยเสนอสิ่งจูงใจอย่างส่วนลดหรือข่าวสารพิเศษล่วงหน้า เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายแบบ Custom และ Lookalike Audiences
ตัวอย่างที่น่าสนใจในไทยคือ ในปี 2025 ผู้ให้บริการด้านสุขภาพรายหนึ่งได้นำระบบ LINE CRM มาผสานกับ HubSpot เพื่อส่งข้อความเฉพาะบุคคลที่ตรงจุดมากขึ้น ส่งผลให้อัตราการนัดหมายเพิ่มขึ้นถึง 33% นอกจากนี้ โปรแกรมสะสมแต้มและความภักดียังเป็นอีกวิธีที่มีประสิทธิภาพ โดยควรออกแบบให้มีรางวัลที่น่าสนใจ เช่น ส่วนลด สิทธิพิเศษ หรือแต้มสะสมสำหรับทุกการทำธุรกรรม ซึ่งช่วยให้ธุรกิจได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าอย่างละเอียด
อีกหนึ่งวิธีคือการใช้ แบบสำรวจ หรือ แบบทดสอบ ที่ให้ทั้งความรู้และความบันเทิงแก่ผู้ใช้งาน ขณะเดียวกันก็ช่วยเก็บข้อมูลความชอบและพฤติกรรมของลูกค้าได้โดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ
การติดตั้ง Server-Side Tracking
Server-side tracking เป็นวิธีการส่งข้อมูลเว็บไซต์ผ่านเซิร์ฟเวอร์ของธุรกิจเอง แทนที่จะส่งผ่านเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ วิธีนี้ช่วยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดจาก ad blockers และข้อบังคับของเบราว์เซอร์ ทำให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและครบถ้วนมากขึ้น
"Server-side tracking enables companies to improve accuracy, reliability, and data completeness compared to client-side tracking. It reduces dependency on browser-based cookies and scripts, which can often be blocked or their function otherwise limited by users and browsers."
– Tom Wilkinson, Senior Marketing Consultant at Usercentrics
ขั้นตอนการติดตั้ง Server-Side GTM:
- ตั้งค่า cloud server
- ตั้งค่าระบบ Google Tag Manager แบบ server-side
- ปรับแต่งแท็กและการส่งข้อมูล
- ทดสอบระบบให้ครบถ้วน
สำหรับธุรกิจในไทย การใช้ custom subdomain ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการติดตามข้อมูล และลดข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลจากระบบเบราว์เซอร์
การทำ Remarketing บน Facebook หลัง iOS 14.5+
หลังจากการอัปเดต iOS 14.5+ การทำ remarketing บน Facebook ต้องเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ๆ โดยเฉพาะเรื่องการติดตามข้อมูลผู้ใช้ที่ลดลงอย่างมาก ธุรกิจในไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้ยังคงสร้างผลลัพธ์ได้ดี แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเหล่านี้
ข้อมูลล่าสุดเผยว่า มีเพียง 13% ของผู้ใช้ที่อนุญาตให้แอปติดตามกิจกรรมของพวกเขา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเก็บข้อมูลแบบเดิม แต่ Facebook ยังคงมีเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดสามารถทำ remarketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านล่างนี้คือวิธีการสร้าง custom audiences และการตั้งค่า Conversions API เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา
การใช้ Engagement ในการ Target
การสร้าง custom audiences จากการมีส่วนร่วมในแพลตฟอร์ม Facebook กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญหลังจากการเปลี่ยนแปลงของ iOS 14.5+ เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง และยังช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง
ตัวเลือก Engagement Custom Audiences ที่ควรพิจารณา:
- Video Engagement Custom Audiences: สร้างกลุ่มเป้าหมายจากผู้ที่ดูวิดีโอในระดับ 25%, 50% หรือ 75%
- Facebook Page Custom Audience: Retarget ผู้ที่ติดตามหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพจ
- Instagram Account Custom Audiences: เจาะกลุ่มผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับบัญชี Instagram ธุรกิจ
- Lead Form Custom Audiences: จากผู้ที่กรอกฟอร์ม
- Instant Experience Custom Audiences: ผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับ Instant Experience
- Shopping Custom Audiences: จากพฤติกรรมการซื้อใน Facebook Shops
สำหรับธุรกิจในไทย การใช้วิดีโอที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยหรือเทศกาลสำคัญ เช่น สงกรานต์หรือลอยกระทง จะช่วยเพิ่ม engagement และสร้างกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
นอกจากนี้ การทดลองใช้ objectives อื่นๆ เช่น Reach objective โดยตั้งค่า frequency ให้ 1 impression ต่อคนต่อวัน ก็เป็นอีกวิธีที่เหมาะสำหรับ audience ขนาดเล็กที่ต้องการ retarget
การตั้งค่า Facebook Conversions API
อีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวัดผลและปรับปรุงการโฆษณาคือ Facebook Conversions API โดยเครื่องมือนี้ช่วยสร้างการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างข้อมูลการตลาดและระบบปรับปรุงโฆษณาของ Meta
"The Conversions API is designed to create a direct connection between your marketing data and Meta's ad optimization systems that help optimize ad targeting, decrease cost per result and measure outcomes across Meta technologies." – Meta Business Help Center
ข้อดีของการใช้ Conversions API ได้แก่:
- การส่งข้อมูล web events จากเซิร์ฟเวอร์ไปยัง Meta โดยตรง
- ลดการพึ่งพาเครื่องมือที่ใช้เบราว์เซอร์
- ช่วยปรับปรุงการ target โฆษณา และลดต้นทุน
ด้วยการใช้ Conversions API ร่วมกับกลยุทธ์ engagement คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง และยังช่วยให้การวัดผลแม่นยำมากยิ่งขึ้น
การ Target แบบ Contextual สำหรับตลาดไทย
Contextual advertising หรือการโฆษณาแบบบริบท เป็นวิธีที่ช่วยให้โฆษณาสอดคล้องกับเนื้อหาที่ผู้บริโภคกำลังอ่านหรือดู โดยจากข้อมูลพบว่า 69% ของผู้บริโภคสนใจโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่พวกเขาอ่าน, 67% เปิดรับแบรนด์ใหม่ และ 44% ตัดสินใจลองใช้แบรนด์ใหม่ นอกจากนี้ ตลาด Contextual Advertising ยังมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 13.3% ต่อปี ซึ่งถือเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในไทยที่ต้องการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับยุคดิจิทัล
วิธีการ Target แบบ Contextual สำหรับประเทศไทย
การทำ Contextual Targeting ในตลาดไทยต้องเริ่มจากการเข้าใจพฤติกรรมและความสนใจของผู้บริโภค โดยใช้คำหลักและวลีแบบ long-tail ผนวกกับการวิเคราะห์เนื้อหาด้วย AI เพื่อวางโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น keyword targeting, topic targeting และ category targeting
เทคนิคที่น่าสนใจมีดังนี้:
- วิเคราะห์เนื้อหาด้วย AI: ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์บริบทของเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้โฆษณาที่วางตรงใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น การเลือกใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา หรือการกำหนดหัวข้อที่เหมาะสม
- ใช้ภาษาและวัฒนธรรมไทย: เพิ่มการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคด้วยการใช้สำนวนภาษาไทย รวมถึงปรับเนื้อหาให้เหมาะกับภาษาถิ่นในแต่ละภูมิภาค เพื่อสร้างความใกล้ชิดและเข้าถึงใจคนไทย
- ตัวอย่างจากแบรนด์ L'Oréal: L'Oréal ใช้ Contextual Advertising ผ่านบล็อกและ YouTube ส่งผลให้ engagement เพิ่มขึ้นถึง 50%
- Negative Targeting: ลดการแสดงโฆษณาในเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือไม่เกี่ยวข้องกับตลาดไทย เพื่อป้องกันผลกระทบเชิงลบต่อแบรนด์
การปรับเนื้อหาและคำหลักเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้ในการวางแผนแคมเปญที่สอดคล้องกับเทศกาลและช่วงเวลาสำคัญในประเทศไทยได้อีกด้วย
การจับเวลาแคมเปญตามเทศกาลไทย
ประเทศไทยมีเทศกาลและช่วงเวลาพิเศษมากมาย ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ Contextual Targeting เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ การวางแผนให้ตรงกับเทศกาลท้องถิ่น ฤดูกาลช้อปปิ้ง หรือช่วงเวลาที่ผู้บริโภคออนไลน์มากที่สุด สามารถช่วยเพิ่ม engagement ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างช่วงเวลาสำคัญที่เหมาะกับแคมเปญ:
- สงกรานต์ (เมษายน): ช่วงเวลาที่ผู้บริโภคแชร์ภาพและวิดีโอออนไลน์มากขึ้น เหมาะกับแคมเปญที่เกี่ยวกับการเดินทาง ของขวัญ หรือกิจกรรมกลางแจ้ง
- ลอยกระทง (พฤศจิกายน): เทศกาลที่เน้นความสวยงามและความโรแมนติก เหมาะสำหรับแบรนด์ที่เกี่ยวกับความงาม แฟชั่น และของตกแต่ง
- ฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม): เป็นช่วงที่ผู้บริโภคใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น ธุรกิจสามารถออกแบบแคมเปญที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ในบ้าน เช่น สินค้าสำหรับครอบครัวหรือความบันเทิงในบ้าน
การจับจังหวะที่เหมาะสมพร้อมกับการใช้ Contextual Targeting อย่างชาญฉลาด จะช่วยให้ธุรกิจในไทยสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงจุดและสร้างผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
sbb-itb-4ffe5b5
การปรับปรุงประสิทธิภาพแคมเปญ
เมื่อสร้างระบบข้อมูลลูกค้า (first-party data) ได้สำเร็จ ขั้นตอนถัดไปที่สำคัญคือการขยายกลุ่มเป้าหมายและปรับแต่งครีเอทีฟให้ตอบโจทย์มากขึ้น ธุรกิจในไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงด้านความเป็นส่วนตัว เช่น iOS 14.5+ มีผลกระทบอย่างมาก มาดูกันว่าเทคนิคใดที่ช่วยให้ธุรกิจไทยสามารถปรับปรุงแคมเปญและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการขยายกลุ่มเป้าหมาย
หลังจากมีฐานข้อมูลลูกค้าที่แข็งแกร่งแล้ว การขยายกลุ่มเป้าหมายด้วย Lookalike Audience ถือเป็นเครื่องมือสำคัญ การใช้ข้อมูลลูกค้าจาก first-party data เพื่อสร้าง Lookalike Audience ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าใหม่ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับลูกค้าเดิม Facebook แนะนำให้ใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างน้อย 100 อีเมล แต่ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่ดีกว่า ควรใช้ข้อมูลในปริมาณ 1,000-50,000 คน
นอกจากนี้ การใช้ CAPI (Conversion API) เพื่อส่งข้อมูลการแปลงโดยตรงไปยัง Facebook ก็ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการสร้าง Lookalike Audience ได้อีกทางหนึ่ง และการตั้งค่าขนาดของ Lookalike Audience ให้มีเปอร์เซ็นต์ที่กว้างขึ้น เช่น 2% หรือมากกว่า ยังช่วยเพิ่มการเข้าถึงในขณะที่ลดต้นทุนโฆษณา
สำหรับธุรกิจที่มีแอปพลิเคชัน การใช้กลยุทธ์ Web2App Funnel เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ตัวอย่างจาก Appbooster แสดงให้เห็นว่าแคมเปญ Web2App สามารถลดค่าใช้จ่ายต่อการติดตั้งแอป (CPI) ลงถึง 1.8 เท่า ลดต้นทุนต่อการกระทำ (CPA) ลง 20% เพิ่มจำนวนการติดตั้งแอปได้ 2.5 เท่า และเพิ่มการทดลองใช้งาน (Trial) ได้ถึง 40%
แนวโน้มที่กำลังมาแรงคือการเปลี่ยนจากการตลาดแบบเน้นผลลัพธ์ระยะสั้น (Bottom-of-funnel) ไปสู่การสร้างการรับรู้และความสนใจในระยะเริ่มต้น (Top-of-funnel Marketing) หลังจากนั้น ใช้กลยุทธ์ Lifecycle Marketing เพื่อสร้างความสัมพันธ์และดูแลลูกค้าตลอดเส้นทางการซื้อ
การปรับแต่งครีเอทีฟสำหรับคนไทย
การทำครีเอทีฟที่สอดคล้องกับความชอบของคนไทยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของแคมเปญ การสร้างวิดีโอที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแบรนด์และเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้บริโภคในไทยเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในไทย เช่น แคมเปญ "ไส้กรองสู้ศึก PM2.5" ของ B-Quik ที่ใช้สื่อขนส่งมวลชน หรือแคมเปญดิจิทัลของ NESCAFÉ Blend & Brew Espresso Roast รวมถึงการใช้เทคโนโลยี 3D illusion ในโฆษณาของ Singha Water และ Chanel Coco Crush 2025
นอกจากนี้ การร่วมงานกับ Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจของแคมเปญ การเลือก Influencer ที่มีผู้ติดตามที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์จะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน
สำหรับธุรกิจ E-commerce การใช้ Dynamic Product Ads เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง ตัวอย่างเช่น สามารถเพิ่ม ROAS บน Meta ได้ถึง 41% ลดค่าโฆษณาต่อการซื้อ (CPP) ลง 45% เพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ได้ 25% และเพิ่มยอดซื้อได้ 17% การเพิ่มองค์ประกอบของแบรนด์ในโฆษณาตลอดทั้ง Marketing Funnel ยังช่วยเพิ่มรายได้ได้ถึง 23%
บทสรุป: ความสำเร็จระยะยาวของ Remarketing
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจาก iOS 14.5+ จะสร้างความท้าทายใหม่ให้กับการทำ remarketing แต่ไม่ได้หมายความว่านี่จะเป็นจุดสิ้นสุด ตรงกันข้าม นี่คือโอกาสสำหรับธุรกิจไทยที่จะปรับตัวและวางรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้น การใช้ first-party data อย่างมีประสิทธิภาพกลายเป็นหัวใจสำคัญ เพราะสามารถสร้างอัตราการจับคู่ข้อมูลได้สูงถึง 80% เมื่อเปรียบเทียบกับ Facebook Pixel
"First party data comes directly from your audience or customers...it is free and considered extremely useful for marketing purposes. You also own this data, so there are fewer privacy concerns associated with collecting, storing, and using it." - AdRoll
อีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญคือการนำระบบ server-side tracking มาใช้ ซึ่งช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเก็บข้อมูล ลดปัญหาจากการใช้งาน ad blockers และข้อจำกัดของเบราว์เซอร์ ทำให้ธุรกิจได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและเชื่อถือได้มากขึ้น
เมื่อพิจารณาถึงพฤติกรรมออนไลน์ของผู้บริโภคในประเทศไทย ซึ่งมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 55 ล้านคน และใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ยมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน การปรับกลยุทธ์ contextual targeting ให้เข้ากับลักษณะเฉพาะของตลาดในประเทศจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ 89% ของผู้บริโภคไทยยอมรับว่าโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อ
ธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาวจำเป็นต้องทดลองและปรับใช้กลยุทธ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง การทำ retargeting ที่มีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้ถึง 161% ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับผู้เยี่ยมชมครั้งแรกที่มีโอกาสซื้อเพียง 3%
"Remarketing is your best option to capitalize on all that potential in your traffic." - Outbrain
การผสมผสานระหว่าง first-party data, server-side tracking และ contextual targeting ช่วยให้ธุรกิจไทยพร้อมรับมือกับอนาคต การลงทุนในเทคโนโลยีและการจัดการข้อมูลที่ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ จะเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในระยะยาว ธุรกิจที่ปรับตัวได้รวดเร็วและวางกลยุทธ์อย่างรอบคอบจะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
FAQs
ทำไมข้อมูล First-Party ถึงมีบทบาทสำคัญในการทำ Remarketing หลังการเปลี่ยนแปลงของ iOS 14.5+?
บทบาทของข้อมูล First-Party ในการทำ Remarketing ยุคใหม่
ข้อมูล First-Party กลายเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Remarketing หลังการเปลี่ยนแปลงของ iOS 14.5+ เพราะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำ โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ได้จากการปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับลูกค้า เช่น การเยี่ยมชมเว็บไซต์ การกรอกแบบฟอร์ม หรือการซื้อสินค้า
การใช้ข้อมูลประเภทนี้ช่วยลดข้อจำกัดที่เกิดจากการติดตามข้อมูลของบุคคลที่ 3 (Third-Party) ซึ่งถูกจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถปรับแต่งโฆษณาให้ตรงกับความสนใจและพฤติกรรมเฉพาะของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจจึงสามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ในสภาพแวดล้อมที่มีการควบคุมความเป็นส่วนตัวอย่างเข้มงวด
สิ่งที่ได้จากกลยุทธ์นี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) เท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความไว้วางใจของลูกค้า ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการทำการตลาดยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
Server-Side Tracking คืออะไร และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการติดตามข้อมูลได้อย่างไร?
Server-side tracking คืออะไร?
Server-side tracking เป็นกระบวนการเก็บข้อมูลที่ทำงานผ่านเซิร์ฟเวอร์โดยตรง แทนที่จะพึ่งพาการทำงานของเบราว์เซอร์หรืออุปกรณ์ของผู้ใช้งาน วิธีนี้ช่วยลดปัญหาที่เกิดจากการบล็อกโฆษณาและข้อจำกัดของเบราว์เซอร์ เช่น การปิดกั้นคุกกี้หรือการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้แม่นยำและครบถ้วนมากยิ่งขึ้น
ข้อดีของ server-side tracking ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความแม่นยำเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการการไหลของข้อมูลได้ดีขึ้น และปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลได้ง่ายขึ้น เช่น กฎหมาย PDPA ในประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสในการจัดการข้อมูล
ด้วย server-side tracking ธุรกิจสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่นำไปใช้วิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การตลาดจะมีความถูกต้องและใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ช่วยให้การตัดสินใจด้านการตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นในระยะยาว
ธุรกิจในไทยสามารถใช้ Contextual Targeting เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาในตลาดท้องถิ่นได้อย่างไร?
วิธีการใช้ Contextual Targeting ให้เหมาะสมกับตลาดไทย
ธุรกิจในประเทศไทยสามารถนำ Contextual Targeting มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับตลาดท้องถิ่นได้โดยเริ่มจากการเลือกใช้คำหลักหรือเนื้อหาที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม ความสนใจ และพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศ ตัวอย่างเช่น การใช้คำที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสำคัญอย่าง สงกรานต์ หรือกิจกรรมประเพณีท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมโยงและดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกแนวทางหนึ่งคือการวิเคราะห์ประเภทเนื้อหาที่ผู้บริโภคกำลังบริโภค เช่น บทความ วิดีโอ หรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ การทำเช่นนี้ช่วยให้โฆษณาปรากฏในบริบทที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ทันที นอกจากนี้ การใช้ข้อมูลพฤติกรรมออนไลน์ เช่น การสำรวจว่าเนื้อหาใดที่ผู้ใช้งานเข้าชมบ่อยที่สุด ยังช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งโฆษณาได้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลาที่เหมาะสม
สุดท้าย การนำเทคโนโลยีที่สามารถวิเคราะห์และจับคู่โฆษณากับเนื้อหาได้อย่างรวดเร็วมาใช้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในยุคที่การเก็บข้อมูลจากบุคคลที่สามลดลง ทั้งยังช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานได้อีกด้วย นี่จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับธุรกิจไทยในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคในรูปแบบที่ปลอดภัยและตรงจุดมากขึ้น
Related Posts
- Conversion Tracking แบบมืออาชีพ: เทคนิคของ Performance Marketing Agency ที่ธุรกิจต้องรู้
- Remarketing คืออะไร และทำไมเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ Performance Marketing Agency ต้องทำให้คุณ
- 5 เทคนิคเพิ่ม ROAS ในแคมเปญ Facebook Ads ที่ใช้ได้จริงในปี 2025
- Creative Remarketing ที่ไม่น่าเบื่อ - ไอเดียเนื้อหาที่ลูกค้าอยากคลิก
