ROAS คือเครื่องมือสำคัญสำหรับ SME ในการวัดผลโฆษณาและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ.

ROAS คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 3 นาที สำหรับเจ้าของธุรกิจ SME
ROAS (Return on Ad Spend) คือการวัดผลว่าเงินที่คุณใช้ไปกับโฆษณาสร้างรายได้กลับมาเท่าไร ตัวเลขนี้ช่วยให้คุณรู้ว่าแคมเปญโฆษณาของคุณคุ้มค่าหรือไม่ ตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุนโฆษณา 1,000 บาท และได้รายได้กลับมา 3,000 บาท ค่า ROAS จะเท่ากับ 3:1
สรุปสั้นๆ:
- สูตร ROAS: รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา
- ตัวอย่าง: ลงทุนโฆษณา 2,000 บาท ได้รายได้ 10,000 บาท ค่า ROAS = 5:1
- ROAS ที่ดีสำหรับ SME: 4:1 ถึง 5:1 (ขึ้นอยู่กับอัตรากำไรของสินค้า)
ประโยชน์ของ ROAS:
- วัดผลและเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา
- ช่วยจัดสรรงบประมาณไปยังช่องทางที่คุ้มค่าที่สุด
- ตัดสินใจปรับกลยุทธ์โฆษณาได้อย่างแม่นยำ
วิธีเพิ่ม ROAS:
- ค้นหากลุ่มลูกค้าที่ตรงเป้าหมาย
- สร้างโฆษณาที่น่าสนใจ
- ปรับปรุงหน้าแลนดิ้งเพจให้มีประสิทธิภาพ
ROAS เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับ SME ช่วยให้คุณเข้าใจการใช้เงินโฆษณาและเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างชัดเจน!
ROAS คืออะไร? สำคัญกับการทำโฆษณายังไง?
พื้นฐานของ ROAS
ROAS หรือ Return on Ad Spend เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้คุณรู้ว่าเงินที่ใช้ไปกับการโฆษณานั้นสร้างรายได้กลับมามากน้อยแค่ไหน โดยคำนวณจากรายได้ที่เกิดขึ้นจากโฆษณาเทียบกับค่าใช้จ่ายในการโฆษณา
สูตรพื้นฐาน
สูตรคำนวณ ROAS:
ROAS = รายได้จากโฆษณา ÷ ค่าใช้จ่ายโฆษณา
ตัวอย่างเช่น หากคุณได้ ROAS เท่ากับ 3:1 นั่นหมายความว่า ทุก ๆ 1 บาทที่ลงทุนไป คุณจะได้รายได้กลับมา 3 บาท
ตัวอย่างการคำนวณ
สมมติว่าคุณเป็นเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์และลงทุนโฆษณาบน Instagram:
รายการ | จำนวนเงิน |
---|---|
ค่าโฆษณา Instagram | ฿2,000 |
รายได้จากโฆษณา | ฿10,000 |
ROAS | 5:1 |
ในกรณีนี้ คุณใช้เงินโฆษณา 2,000 บาท และสร้างยอดขายได้ 10,000 บาท เมื่อนำมาคำนวณ ROAS จะได้ 10,000 ÷ 2,000 = 5 (หรือ 5:1)
ระดับ ROAS ที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจและอัตรากำไรของสินค้า ธุรกิจที่มีกำไรขั้นต้นสูงอาจพอใจกับ ROAS ที่ 2:1 แต่หากกำไรขั้นต้นต่ำ คุณอาจต้องการ ROAS สูงถึง 5:1 เพื่อให้การลงทุนคุ้มค่า
ในส่วนถัดไป เราจะมาดูวิธีวัดและเปรียบเทียบค่า ROAS เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประโยชน์ของ ROAS สำหรับธุรกิจ SME
ROAS เป็นเครื่องมือที่ช่วยเจ้าของธุรกิจ SME จัดการงบการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด การนำ ROAS มาใช้สามารถช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณาได้อย่างชัดเจน โดยมีข้อดีหลักดังนี้:
ติดตามผลลัพธ์ของโฆษณาได้อย่างแม่นยำ
ROAS ช่วยวัดผลแคมเปญโฆษณา เพื่อดูว่าแคมเปญใดสร้างรายได้ที่คุ้มค่ากับการลงทุนที่สุด การเปรียบเทียบผลตอบแทนจากช่องทางต่าง ๆ ทำให้คุณเห็นได้ชัดเจนว่าแพลตฟอร์มใดทำงานได้ดี เช่น:
แพลตฟอร์ม | ค่าโฆษณา | รายได้ | ROAS |
---|---|---|---|
฿2,000 | ฿10,000 | 5:1 | |
Google Ads | ฿3,000 | ฿6,000 | 2:1 |
ใช้งบการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อทราบว่าช่องทางไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุด คุณสามารถจัดสรรงบประมาณไปยังแคมเปญที่คุ้มค่าที่สุดได้ง่ายขึ้น ROAS ช่วยให้คุณมั่นใจว่าทุกบาทที่ลงทุนไปจะสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม
ตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลที่ชัดเจน
ค่า ROAS ที่เหมาะสมมักอยู่ระหว่าง 4:1 ถึง 5:1 หากค่า ROAS ต่ำกว่า 3:1 นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณต้องปรับกลยุทธ์ ตัวอย่างการปรับปรุงที่สามารถทำได้ ได้แก่:
- ปรับหน้าแลนดิ้งเพจให้ดึงดูดมากขึ้น
- ทดลองเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย
- สร้างข้อความโฆษณาใหม่
- ส่งอีเมลติดตามลูกค้าที่ละทิ้งตะกร้าสินค้า
ROAS ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล ว่าควรเดินหน้ากับแคมเปญไหน หรือหยุดการลงทุนในแคมเปญที่ไม่คุ้มค่า.
sbb-itb-4ffe5b5
วิธีวัดผล ROAS ให้แม่นยำ
เมื่อเข้าใจความสำคัญของ ROAS แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวัดผลอย่างถูกต้อง การวัด ROAS ช่วยให้คุณประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างชัดเจน
วิธีคำนวณ ROAS
ใช้สูตร ROAS ที่เคยกล่าวถึง: เก็บข้อมูล รายได้จากแคมเปญ และ ค่าใช้จ่ายโฆษณา เพื่อคำนวณ ROAS อย่างตรงจุด
ตัวอย่าง: หากใช้งบโฆษณา 10,000 บาท และสร้างรายได้ 50,000 บาท จะได้ ROAS เท่ากับ 5:1 หมายความว่า ทุก 1 บาทที่ลงทุน สร้างรายได้กลับมา 5 บาท
เปรียบเทียบ ROAS กับเป้าหมาย
ค่า ROAS ที่เหมาะสมจะแตกต่างไปตามประเภทและขนาดของธุรกิจ:
ขนาดธุรกิจ | ROAS เป้าหมาย | ความหมาย |
---|---|---|
ธุรกิจขนาดเล็ก | 4:1 - 5:1 | เหมาะสำหรับ SME ที่ต้องการผลตอบแทนสูง |
ธุรกิจขนาดกลาง-ใหญ่ | 3:1 - 4:1 | เหมาะกับธุรกิจที่มีฐานลูกค้ามั่นคง |
สำหรับ SME ควรตั้งเป้า ROAS อย่างน้อยที่ 4:1 หากต่ำกว่า 3:1 ควรปรับกลยุทธ์ เช่น ปรับปรุงหน้าแลนดิ้งเพจ หรือทดลองเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายโฆษณา
ในกรณีที่แคมเปญมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์ ค่า ROAS ที่ต่ำกว่าเกณฑ์อาจยอมรับได้ ดังนั้น การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ในส่วนถัดไป เราจะพูดถึงวิธีเพิ่ม ROAS ให้ดียิ่งขึ้น
3 วิธีเพิ่ม ROAS ให้ดียิ่งขึ้น
การเพิ่ม ROAS ไม่ใช่เรื่องยาก หากใช้วิธีที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจ SME ลองดู 3 วิธีที่ได้ผลจริงด้านล่างนี้
1. ค้นหากลุ่มลูกค้าที่ตรงเป้าหมาย
การเข้าถึงลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อสูงเป็นหัวใจสำคัญ ลองทำตามนี้:
- วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเก่า เพื่อค้นหากลุ่มที่มักซื้อซ้ำและมียอดใช้จ่ายสูง
- ปรับแต่งการตั้งค่ากลุ่มเป้าหมายให้ตรงกับพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า
- เลือกช่องทางโฆษณาที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อระบุกลุ่มเป้าหมายได้แล้ว ให้เน้นสร้างโฆษณาที่ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาโดยตรง
2. สร้างโฆษณาที่น่าสนใจ
โฆษณาที่ดึงดูดและกระตุ้นยอดขายสามารถสร้างได้ด้วยวิธีเหล่านี้:
- ใช้หัวข้อโฆษณาที่มีคีย์เวิร์ดตรงกับสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายค้นหา
- เพิ่มภาพที่แสดงสินค้าอย่างชัดเจน พร้อมจุดเด่น เช่น การจัดส่งฟรีหรือการรับประกัน
- เขียนคำอธิบายที่ใส่คีย์เวิร์ดสำคัญ พร้อมข้อมูลครบถ้วน
อย่าลืมว่าโฆษณาที่ดีต้องทำงานร่วมกับหน้าแลนดิ้งเพจที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มโอกาสเปลี่ยนผู้ชมเป็นลูกค้า
3. ปรับปรุงหน้าแลนดิ้งเพจ
หน้าแลนดิ้งเพจที่มีคุณภาพควรสอดคล้องกับโฆษณาและกระตุ้นให้เกิดการซื้อ:
- ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การสั่งซื้อหรือการติดต่อ
- ออกแบบปุ่ม CTA ให้โดดเด่น ด้วยสีที่ตัดกับพื้นหลัง ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการคลิกได้ถึง 21%
- เพิ่มความน่าเชื่อถือด้วยรีวิวจากลูกค้าจริง
- ทำให้หน้าเพจโหลดเร็ว โดย Google แนะนำว่าควรโหลดได้ภายใน 3 วินาที
ปรับปรุงทั้งสามส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทดสอบและวัดผล เพื่อค้นหาวิธีที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ
สรุป
ROAS เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจ SME เข้าใจว่าการลงทุนในโฆษณาของพวกเขาคุ้มค่าหรือไม่ และยังช่วยในการปรับปรุงแคมเปญให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
การเพิ่ม ROAS สามารถทำได้โดยการปรับปรุงโฆษณาและหน้าเพจ โดยให้ความสำคัญกับ:
- การเลือกคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย
- การวิเคราะห์ข้อมูลแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
- การทดลองปรับเปลี่ยนรูปแบบโฆษณาเพื่อค้นหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุด
นอกจากนี้ การพิจารณาทุกองค์ประกอบ ตั้งแต่ประสิทธิภาพของเว็บไซต์ การอธิบายสินค้า ไปจนถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้ชม ก็มีส่วนช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้า ด้วยข้อมูลเหล่านี้ เจ้าของธุรกิจ SME จะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและใช้เงินลงทุนได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
