Published May 25, 2025 ⦁ 5 min read

เรียนรู้ข้อผิดพลาดที่ทำให้ Remarketing ไม่ประสบความสำเร็จ และวิธีปรับปรุงเพื่อเพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจของคุณ.

ทำไม Remarketing ไม่ได้ผล? 5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของธุรกิจมักทำ

ทำไม Remarketing ไม่ได้ผล? 5 ข้อผิดพลาดที่เจ้าของธุรกิจมักทำ

คุณเคยทำ Remarketing แล้วไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการหรือเปล่า? นี่คือ 5 ข้อผิดพลาดสำคัญที่มักทำให้แคมเปญล้มเหลว และวิธีแก้ไขที่ช่วยเพิ่ม ROI และเปลี่ยนให้ Remarketing กลายเป็นเครื่องมือทำเงิน:

  1. กำหนดกลุ่มเป้าหมายผิด
    • ใช้กลุ่ม "All Visitors" ทำให้โฆษณาแสดงกับคนที่ไม่สนใจ
    • ควรแบ่งกลุ่มตามพฤติกรรม เช่น ผู้ที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ได้ซื้อ
  2. โฆษณาไม่เหมาะกับลูกค้า
    • ส่งโฆษณาเดิมให้คนที่เพิ่งซื้อไปแล้ว
    • ควรจับคู่โฆษณาตามขั้นตอนของลูกค้า เช่น Awareness, Consideration, Decision
  3. แสดงโฆษณาบ่อยเกินไป
    • เกิด "Ad Fatigue" ทำให้ลูกค้ารู้สึกเบื่อ
    • ใช้ Frequency Caps จำกัดจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงต่อคน
  4. ข้อความไม่สอดคล้องในแต่ละแพลตฟอร์ม
    • ข้อความหรือดีไซน์ต่างกันมากเกินไปใน Facebook, LINE, หรือ Google Ads
    • คงโทนสี โลโก้ และข้อความให้สอดคล้องกัน
  5. ใช้โฆษณาแบบ Static เท่านั้น
    • โฆษณาไม่ปรับตามความสนใจของผู้ใช้
    • ใช้โฆษณาแบบ Dynamic เพื่อแสดงสินค้าที่ผู้ใช้เคยสนใจ

แก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้ จะช่วยให้แคมเปญ Remarketing ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุน และเพิ่มยอดขายได้จริง!

1. การกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ผิดพลาด

หลายธุรกิจในไทยมักเริ่มต้นแคมเปญ Remarketing ด้วยการใช้กลุ่มผู้ชมแบบ "All Visitors" โดยเชื่อว่าการเข้าถึงกลุ่มคนให้ได้มากที่สุดจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่ความจริงคือ การใช้กลุ่มนี้อาจทำให้โฆษณาถูกแสดงกับผู้ที่ไม่มีความสนใจ ส่งผลให้อัตราการมีส่วนร่วมน้อยลง และสิ้นเปลืองงบประมาณโดยเปล่าประโยชน์.

เพื่อให้ Remarketing มีประสิทธิภาพมากขึ้น การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะช่วยให้เราสามารถสร้างโฆษณาที่ตอบโจทย์และดึงดูดใจมากกว่าเดิม

"การแบ่งกลุ่มผู้ชมตามความตั้งใจของผู้ใช้อย่างเหมาะสมเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ retargeting" - Ryan Maake, Lead Marketing Consultant ที่ WebFX

การจัดกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรม

การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมช่วยให้เราสร้างโฆษณาที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น. แทนที่จะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับทุกคน เราควรสร้างรายการ Remarketing ที่มีเป้าหมายชัดเจน โดยพิจารณาจากการกระทำและความสนใจของผู้เยี่ยมชมในอดีต.

ตัวอย่างกลุ่มผู้ใช้ที่ควรพิจารณา:

  • Cart Abandoners (ผู้ที่ทิ้งรถเข็น)
    กลุ่มนี้มีความตั้งใจซื้อสูง ผู้ใช้ได้เลือกสินค้าใส่รถเข็นแล้วแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน โฆษณาที่เหมาะสมอาจเป็นข้อความเร่งด่วน เช่น "อย่าพลาด! สินค้าของคุณยังรออยู่" หรือเสนอส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ
  • Product Page Viewers (ผู้ดูหน้าสินค้า)
    ผู้ที่เข้าชมหน้าสินค้าเฉพาะเจาะจงแสดงถึงความสนใจในสินค้านั้นๆ แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ อาจต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เช่น รีวิวสินค้า หรือการยืนยันคุณภาพผ่านโฆษณาที่เน้นจุดเด่นของสินค้า
  • Engaged Users (ผู้ใช้ที่มีส่วนร่วม)
    หมายถึงผู้ที่ใช้เวลานานบนเว็บไซต์ ดูหลายหน้า หรือกลับมาเยี่ยมชมซ้ำ เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มสนใจแบรนด์สูง โฆษณาอาจเสนอโปรโมชั่นพิเศษหรือเน้นย้ำคุณค่าของแบรนด์

การใช้เครื่องมืออย่าง Google Analytics ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมเหล่านี้ได้แม่นยำขึ้น. ตัวอย่างเช่น การดูเวลาที่ผู้ใช้ใช้บนเว็บไซต์ จำนวนครั้งที่เยี่ยมชม หรือพฤติกรรมการเลื่อนดูหน้าเว็บ.

การตั้งค่า Audiences สำหรับ SME ไทย

SME ในไทยสามารถปรับแต่งกลุ่มเป้าหมายให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบว่า 78% ของผู้บริโภคไทยตัดสินใจซื้อหลังเห็นสินค้าจากอินฟลูเอนเซอร์ที่เชื่อถือได้.

ตัวอย่างการสร้าง Custom Audiences ใน Facebook:

  • เริ่มจากการติดตั้ง Facebook Pixel บนเว็บไซต์
  • เข้า Ads Manager เลือก Create Audience > Custom Audience > Website Traffic
  • ตั้งเงื่อนไขตามพฤติกรรม เช่น "ผู้ที่เยี่ยมชมหน้าสินค้าใน 7 วันที่ผ่านมา" หรือ "ผู้ที่ใส่สินค้าในรถเข็นแต่ยังไม่ได้ซื้อใน 3 วันที่ผ่านมา"

การตั้งค่าใน Google Ads:

  • เข้าไปที่ Tools & Settings > Audience Manager > Create Audience > Website Visitors
  • สร้างกลุ่มเป้าหมายตามหน้าเว็บที่ผู้ใช้เยี่ยมชม เช่น แยกผู้ที่ดูหน้า "ติดต่อเรา" ออกจากผู้ที่ดูหน้าสินค้า เพราะพฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนความตั้งใจที่แตกต่างกัน

การตั้งค่าที่เหมาะสมนี้ช่วยให้ SME สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยลดการสิ้นเปลืองงบประมาณไปกับผู้ที่ไม่สนใจสินค้าอย่างแท้จริง.

2. การแสดงโฆษณาที่ไม่เหมาะสมกับลูกค้า

หลังจากที่คุณกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเลือกเนื้อหาโฆษณาที่สอดคล้องกับสถานะของลูกค้าในแต่ละช่วงเวลา

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยคือการแสดงโฆษณาที่ไม่เหมาะสมกับสถานะของลูกค้า เช่น การส่งโฆษณาเร่งด่วนไปยังลูกค้าที่เพิ่งซื้อสินค้าไปแล้ว นอกจากจะทำให้งบโฆษณาสูญเปล่า ยังอาจสร้างความรำคาญให้กับลูกค้าได้อีกด้วย การจับคู่เนื้อหาโฆษณาให้เหมาะสมกับสถานะของลูกค้าจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

81% ของผู้บริโภคค้นคว้าข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ และ 63% ของผู้ที่ขอข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทจะไม่ซื้อสินค้าภายใน 3 เดือนแรก ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การเข้าใจเส้นทางของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญในการวางแผนโฆษณา

"Retargeting allows you to keep your brand in front of bounced traffic after they leave your website." - Neil Patel, นักการตลาดดิจิทัลชื่อดัง

การจับคู่โฆษณากับขั้นตอนของลูกค้า

เส้นทางของลูกค้าประกอบด้วยหลายขั้นตอน ตั้งแต่การรับรู้ (Awareness) การพิจารณา (Consideration) การตัดสินใจ (Decision) ไปจนถึงการรักษาลูกค้า (Retention) และการสร้างผู้สนับสนุน (Advocacy) การออกแบบโฆษณาให้เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอนสามารถเพิ่มอัตราการตอบสนองได้สูงถึง 400%

  • Awareness (การรับรู้): โฆษณาในขั้นตอนนี้ควรมุ่งเน้นการแนะนำแบรนด์และสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น การใช้รีวิวจากลูกค้าหรือเนื้อหาที่บอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์
  • Consideration (การพิจารณา): เน้นการให้ข้อมูลที่เจาะลึกเกี่ยวกับสินค้า เช่น วิดีโอสาธิตหรือบทความรีวิวสินค้า เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
  • Decision (การตัดสินใจ): ใช้ข้อเสนอที่น่าสนใจ เช่น ส่วนลดพิเศษ การรับประกันสินค้า หรือข้อความกระตุ้น เช่น "สินค้ากำลังจะหมด เหลือเพียง 2 ชิ้นสุดท้าย!"

การตรวจสอบเมตริก เช่น Click-through Rate (CTR), Conversion Rate และ Engagement Rate จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าโฆษณาของคุณตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในแต่ละขั้นตอน

การใช้ Exclusion Lists เพื่อประหยัดงบประมาณ

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญคือการใช้ Exclusion Lists หรือรายชื่อผู้ที่ควรยกเว้นจากการแสดงโฆษณา

Exclusion Lists ช่วยลดการแสดงโฆษณาแก่กลุ่มที่ไม่เหมาะสม ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย (CAC) และเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) จากการวิจัยพบว่า โดยเฉลี่ยแล้ว 10% ของ CAC ถูกใช้ไปกับลูกค้าเดิมที่ซื้อสินค้าแล้ว

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า น้อยกว่า 25% ของผู้โฆษณาใช้ Exclusion Lists ในทุกแคมเปญ และ 6.4% ไม่เคยใช้เลย นี่จึงเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจในไทยที่จะนำวิธีนี้มาใช้เพื่อปรับปรุงแคมเปญให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

"Spend some time thinking about who shouldn't see your ads, because it's really easy to add exclusion audiences, and it could save you quite a bit in the way of ad spend." - Kasim Aslam, ผู้ก่อตั้ง Solutions 8

ตัวอย่างกลุ่มที่ควรใส่ใน Exclusion Lists:

  • ลูกค้าที่ซื้อสินค้าใน 30 วันที่ผ่านมา: หลีกเลี่ยงการแสดงโฆษณาขายสินค้าเดิมให้กับลูกค้าที่เพิ่งซื้อไปแล้ว แต่สามารถใช้โฆษณาสินค้าเสริมหรือแคมเปญ Cross-sell เพื่อเพิ่มยอดขายได้แทน

3. การแสดงโฆษณาบ่อยเกินไป

เมื่อคุณสามารถจับคู่โฆษณากับสถานะของลูกค้าได้อย่างเหมาะสมแล้ว ปัญหาที่มักจะเจอต่อมาคือการแสดงโฆษณาซ้ำมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เสียหายได้

91% ของผู้คนระบุว่าพวกเขาเห็นโฆษณาบนโซเชียลมีเดียมากเกินไป ขณะที่ 37% เลือกบล็อกโฆษณาเฉพาะ และ 35% ตัดสินใจเลิกติดตามแบรนด์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการแสดงโฆษณาที่มากเกินไปเป็นปัญหาที่ธุรกิจต้องจัดการอย่างจริงจัง

ปรากฏการณ์ "Ad Fatigue" หรือความเหนื่อยล้าจากโฆษณา เกิดขึ้นเมื่อกลุ่มเป้าหมายเริ่มตอบสนองต่อโฆษณาน้อยลง เพราะเจอโฆษณาซ้ำๆ มากเกินไป หากเนื้อหาโฆษณาไม่ตรงกับความสนใจหรือดูน่ารำคาญ ผู้ชมอาจรู้สึกหงุดหงิดและเริ่มสร้างความเชื่อมโยงในเชิงลบกับแบรนด์ของคุณ การตั้งค่า Frequency Caps หรือการจำกัดจำนวนครั้งที่โฆษณาแสดงต่อผู้ใช้ จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบของ Ad Fatigue ในประเทศไทย

ในประเทศไทย ผลกระทบของ Ad Fatigue ชัดเจนมาก เพราะ Facebook มีผู้ใช้งานถึง 48.1 ล้านคน, YouTube มี 43.9 ล้านคน และ TikTok มี 40.28 ล้านคน ณ เดือนมกราคม 2566 การที่ผู้บริโภคไทยใช้เวลาอยู่บนแพลตฟอร์มเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นโฆษณาเดียวกันซ้ำๆ ได้บ่อยครั้ง

"แม้ว่าผลการวิจัยจะแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากโฆษณาบนโซเชียลมีเดียที่มากเกินไป แต่ธุรกิจไม่ควรหยุดใช้โซเชียลมีเดียทั้งหมด... แบรนด์ควรระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้โฆษณา เพื่อให้แน่ใจว่ามีการกำหนดเป้าหมายและจังหวะเวลาที่เหมาะสมและเป็นส่วนตัว"
– Eduardo Garcia Rodriguez, นักวิเคราะห์ Capterra UK

ยิ่งไปกว่านั้น 61% ของผู้บริโภคกล่าวว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะไม่ซื้อสินค้าหรือบริการจากบริษัทที่แสดงโฆษณาซ้ำบ่อยเกินไป และ 49% ของผู้บริโภคถึงกับตัดสินใจไม่ซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ทำให้รู้สึกว่าถูกโฆษณารบกวนมากเกินไป

ความถี่ที่เหมาะสมในการแสดงโฆษณา

การหาจุดสมดุลระหว่างการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกับการหลีกเลี่ยง Ad Fatigue ถือเป็นความท้าทาย เพราะในแต่ละวัน ผู้คนอาจเจอโฆษณามากถึง 4,000 ถึง 10,000 ชิ้น

การตั้งค่า Frequency Caps เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยควบคุมจำนวนครั้งที่ผู้ใช้คนเดียวกันจะเห็นโฆษณา ตัวอย่างเช่น สำหรับโฆษณาแบบ In-Stream การตั้งค่าสามารถอยู่ที่ 5-15 นาที ต่อการแสดงโฆษณาหนึ่งครั้ง

การปรับ Frequency Caps อย่างเหมาะสม เช่น การเปลี่ยนจากการแสดงโฆษณา 1 ครั้งต่อวัน เป็น 1 ครั้งต่อผู้ใช้ทุก 3 วิดีโอ พบว่าทำให้ จำนวน Impressions เพิ่มขึ้น 44.1% บนมือถือ และ 60.3% บนเดสก์ท็อป พร้อมทั้งช่วยเพิ่มรายได้รวมขึ้น 41.22% บนมือถือ และ 38.8% บนเดสก์ท็อป การตั้งค่าเหล่านี้จึงเป็นทางออกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไรจากโฆษณาได้อย่างชัดเจน

4. ข้อความที่แตกต่างกันในแต่ละแพลตฟอร์ม

หลังจากจัดการปัญหาโฆษณาที่แสดงซ้ำหรือจับคู่โฆษณาไม่เหมาะสมแล้ว อีกสิ่งที่ต้องใส่ใจคือการทำให้ข้อความและรูปแบบของโฆษณามีความสอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์ม ความผิดพลาดที่พบได้บ่อยคือการใช้ข้อความหรือดีไซน์ที่ไม่สอดคล้องกันในแต่ละช่องทาง ตัวอย่างเช่น หากผู้บริโภคเห็นโฆษณาของคุณใน Facebook แล้วไปเจอโฆษณาใน LINE หรือ Google ที่มีข้อความหรือสไตล์ต่างกันมากเกินไป สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความสับสนและลดความเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณได้

ในประเทศไทย ผู้บริโภคมักพบเจอแบรนด์เดิมในหลายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook และ LINE ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน การออกแบบแคมเปญที่เข้ากับบริบทของไทย เช่น เทศกาลสงกรานต์หรือลอยกระทง สามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมได้ถึง 40% และโฆษณาที่สะท้อนความเป็นไทยอย่างแท้จริงยังช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้ถึง 2.7 เท่า ดังนั้น การปรับแต่งข้อความและการออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของแต่ละแพลตฟอร์มจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

การออกแบบโฆษณาที่สอดคล้องกัน

การทำให้โฆษณามีความสอดคล้องกันไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เนื้อหาแบบเดียวกันทุกแพลตฟอร์ม แต่ควรคงองค์ประกอบหลักของแบรนด์ เช่น โลโก้ โทนสี และภาพ ให้เหมือนกัน พร้อมปรับให้เหมาะกับลักษณะเฉพาะของแต่ละช่องทาง

เริ่มต้นด้วยการสร้าง แผนผังน้ำเสียงแบรนด์ เพื่อกำหนดทิศทางการสื่อสารในแต่ละสถานการณ์ หากแบรนด์ของคุณมีบุคลิกที่เป็นมิตรและเข้าถึงง่าย ควรรักษาบุคลิกนี้ไว้ในทุกแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, LINE หรือ Google Ads แต่ปรับวิธีการนำเสนอให้เหมาะกับผู้ใช้งานในแต่ละช่องทาง

ในด้าน Visual Harmony การใช้โลโก้ โทนสี และฟอนต์ให้สอดคล้องกันในทุกแพลตฟอร์มจะช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น อย่าลืมปรับขนาดและรูปแบบภาพให้เหมาะสมกับข้อกำหนดของแต่ละแพลตฟอร์ม

"Coca-Cola's enduring brand harmony serves as a model. Their consistent use of color, font, and style has created a strong brand identity." – Fraz Khalid, Business Unit Head at Martin Dow Limited

ตัวอย่างการรักษาความสอดคล้องในแพลตฟอร์มต่างๆ ในประเทศไทย

ตัวอย่างที่น่าสนใจในตลาดไทยคือการใช้ Sequential Messaging หรือการส่งข้อความตามลำดับ เช่น เริ่มต้นด้วยการสร้างการรับรู้ใน Facebook แล้วตามด้วยการรีทาร์เก็ตใน LINE วิธีนี้ช่วยเพิ่มอัตราการแปลงได้ถึง 2.5 เท่า เพราะลูกค้าจะได้รับข้อความที่ต่อเนื่องและสมเหตุสมผลในทุกขั้นตอนของการตัดสินใจซื้อ

นอกจากนี้ การเชื่อมโยงประสบการณ์ระหว่างแพลตฟอร์มด้วย Strategic Calls-to-Action ก็มีประสิทธิภาพ เช่น การใส่ข้อความ "ติดตามเราใน LINE เพื่อรับโปรโมชั่นพิเศษ" ในโฆษณา Facebook ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเชื่อมต่อกับแบรนด์ในช่องทางอื่น ๆ ได้

สุดท้าย การใช้ Content Calendar เป็นเครื่องมือที่ช่วยวางแผนและจัดระเบียบเนื้อหาให้มีความสอดคล้องในทุกช่องทาง ช่วยให้การสื่อสารของแบรนด์ดูเป็นมืออาชีพและไม่สะดุด

5. การใช้รูปแบบโฆษณาพื้นฐานเท่านั้น

เมื่อเราจัดการปัญหาความสอดคล้องของข้อความในแต่ละแพลตฟอร์มแล้ว อีกข้อผิดพลาดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นคือการใช้โฆษณาแบบ Static ที่ไม่ปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้ การใช้โฆษณาแบบนี้ส่งผลให้อัตราการมีส่วนร่วมและอัตราการคลิก (CTR) ลดลงอย่างชัดเจน เพราะในยุคปัจจุบัน ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์ที่ตรงใจและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น มาดูกันว่าทำไมโฆษณาที่ปรับให้เหมาะกับผู้ใช้จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า

โฆษณาแบบ Dynamic มีศักยภาพในการเพิ่มอัตราการคลิกได้ถึงสองเท่า และลดต้นทุนต่อการกระทำ (CPA) ลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับโฆษณาแบบ Static นอกจากนี้ ผู้บริโภคถึง 80% มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้น หากแบรนด์นำเสนอประสบการณ์ที่ปรับให้เหมาะกับพวกเขาผ่านโฆษณาที่ปรับแต่งได้

ปัญหาของโฆษณาแบบ Static คือมันขาดความเฉพาะตัวและไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้แต่ละคน โฆษณาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเพียงการสื่อสารทางเดียว ในขณะที่โฆษณาแบบ Dynamic ใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อสร้างเนื้อหาที่เหมาะสม ทำให้โฆษณาดูสดใหม่และมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้

"Ad fatigue accelerates when users are overexposed to ads, seeing the same ones repeatedly or encountering too many per page. Poor targeting, irrelevant messaging, and low-quality content exacerbate the problem." - Erik Stebbins, Associate Director of Paid Social at NP Digital

ทำไมโฆษณาที่ปรับให้เหมาะกับผู้ใช้จึงมีประสิทธิภาพมากกว่า

โฆษณาแบบ Dynamic ทำงานโดยการนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องที่สุดให้กับผู้ใช้แต่ละคน แตกต่างจากโฆษณาแบบ Static ที่มักจะเหมือนเดิมและมุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้ชมกว้าง ๆ โฆษณาแบบ Dynamic ใช้ฟีดผลิตภัณฑ์หรือเนื้อหา พร้อมด้วยเทคโนโลยีการส่งโฆษณาแบบเรียลไทม์ ทำให้ลดการแสดงผลที่ไม่จำเป็นและตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของผู้ใช้แต่ละคนได้ดียิ่งขึ้น

จากข้อมูลพบว่าโฆษณาแบบ Dynamic มีอัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่าโฆษณาแบบ Static ถึง 25% และธุรกิจที่ใช้โฆษณา Remarketing แบบ Dynamic ยังมีอัตราการแปลงที่ดีขึ้นถึง 30%

นอกจากนี้ โฆษณาแบบ Dynamic ยังช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้มากขึ้น เพราะผู้ใช้ชื่นชอบเนื้อหาที่สดใหม่และตรงใจ อีกทั้งระบบอัตโนมัติของแคมเปญ Dynamic ยังช่วยลดเวลาและทรัพยากรในการสร้างเนื้อหา เพราะไม่จำเป็นต้องผลิตเวอร์ชันที่หลากหลาย

วิธีการตั้งค่าโฆษณาแบบ Dynamic สำหรับ SME ไทย

สำหรับ SME ไทย การเริ่มต้นใช้งานโฆษณาแบบ Dynamic ไม่ได้ยุ่งยากและยังคุ้มค่าอีกด้วย เริ่มต้นด้วยการกำหนดภาพลักษณ์แบรนด์ให้ชัดเจนก่อนที่จะสร้างสื่อโฆษณา จากนั้น ปรับปรุงการกำหนดเป้าหมายโดยแบ่งกลุ่มผู้ชมตามข้อมูลประชากรศาสตร์ วิธีนี้ช่วยให้การทำ Remarketing มีความแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเชื่อมโยงกับการแบ่งกลุ่มเป้าหมายที่ได้กล่าวถึงในตอนต้นของบทความ

sbb-itb-4ffe5b5

สรุป: การแก้ไขแคมเปญ Remarketing ของคุณ

เพื่อปรับปรุงแคมเปญ Remarketing ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คุณควรเริ่มต้นด้วยการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดสำคัญและนำกลยุทธ์ที่เหมาะสมมาใช้ การวางแผนอย่างรอบคอบ การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างชัดเจน

แบ่งกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ
การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรม เช่น การเพิ่มสินค้าลงตะกร้าหรือการละทิ้งตะกร้า สามารถช่วยให้แคมเปญของคุณตรงเป้าหมายมากขึ้น การจับคู่โฆษณาให้เหมาะสมกับขั้นตอนของลูกค้าในกระบวนการซื้อ รวมถึงการใช้ Exclusion Lists เพื่อป้องกันการแสดงโฆษณาให้กับลูกค้าที่ซื้อสินค้าแล้ว จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพได้.

ควบคุมความถี่ในการแสดงโฆษณา
จำกัดการแสดงโฆษณาให้เหมาะสม เช่น 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อลดความเบื่อหน่าย (Ad Fatigue) และรักษาความสอดคล้องของข้อความและดีไซน์ในทุกแพลตฟอร์ม สิ่งนี้ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นและเพิ่มการจดจำแบรนด์.

เลือกใช้โฆษณาแบบ Dynamic
โฆษณาแบบ Dynamic ซึ่งแสดงสินค้าที่ผู้ใช้เคยสนใจ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการซื้อและมอบประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น แทนที่จะใช้โฆษณาแบบ Static.

สำหรับ SME ไทย การใช้ Remarketing อย่างเหมาะสมสามารถเพิ่มอัตราการคลิกได้มากกว่าโฆษณาแบบ Display ทั่วไปถึง 76% และเพิ่มอัตราการแปลงได้ถึง 161% โดยต้นทุนต่อการแปลงลดลง 32% เมื่อเทียบกับโฆษณาค้นหา และลดลงถึง 65% เมื่อเทียบกับโฆษณา Display.

การทดสอบ A/B อย่างต่อเนื่อง
การทดสอบ A/B เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาแคมเปญ คุณสามารถทดลองครีเอทีฟ ข้อความ และ Call-to-Action เพื่อดูว่าอะไรได้ผลดีที่สุดกับกลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลยังแสดงว่าผู้บริโภค 79% มีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่อข้อเสนอที่สอดคล้องกับการปฏิสัมพันธ์ก่อนหน้านี้.

"Remarketing transforms abandoned carts from lost opportunities into recovered revenue." - Tom Bukevicius, Author, SCUBE Marketing

VenueE Performance Marketing: พาร์ทเนอร์สำหรับ SME ไทย
VenueE Performance Marketing ซึ่งเป็น Meta Badged Partner ที่ได้รับการรับรอง พร้อมช่วย SME ไทยพัฒนาแคมเปญ Remarketing ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยประสบการณ์การจัดการงบโฆษณากว่า 150 ล้านบาทต่อปี และการทำงานแบบโปร่งใสโดยไม่ผูกมัดด้วยสัญญาระยะยาว เราเข้าใจความต้องการของธุรกิจไทยและพร้อมช่วยให้แคมเปญของคุณสร้างผลตอบแทนที่วัดผลได้จริง

FAQs

การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมช่วยพัฒนาแคมเปญ Remarketing ได้อย่างไร?

การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรม: กุญแจสู่แคมเปญ Remarketing ที่มีประสิทธิภาพ

การแบ่งกลุ่มผู้ใช้ตามพฤติกรรมเป็นวิธีที่ช่วยให้แคมเปญ Remarketing ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมันช่วยให้เราสามารถส่งข้อความและข้อเสนอที่ ตรงใจ และ สอดคล้อง กับความสนใจและพฤติกรรมของผู้ใช้แต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ ผลลัพธ์ที่ได้คือโอกาสในการเปลี่ยนผู้ใช้ให้กลายเป็นลูกค้าที่สูงขึ้น พร้อมทั้งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ

นอกจากนั้น การวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ยังช่วยให้สามารถสร้างโฆษณาที่เจาะจงและตอบโจทย์ความต้องการได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย หรือการเลือกช่วงเวลา ที่ใช่ ในการแสดงโฆษณา ทั้งสองสิ่งนี้มีส่วนช่วยเพิ่ม อัตราการมีส่วนร่วม และปรับปรุงผลลัพธ์ของแคมเปญให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจนอีกด้วย

ทำไมโฆษณาแบบ Dynamic ถึงให้ผลลัพธ์ดีกว่าโฆษณาแบบ Static?

โฆษณาแบบ Dynamic และ Static: ความแตกต่างที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพ

โฆษณาแบบ Dynamic มีความโดดเด่นตรงที่สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้เหมาะกับความสนใจและพฤติกรรมของผู้ชมแต่ละคนได้อย่างอัตโนมัติ ระบบจะนำข้อมูล เช่น สินค้าหรือบริการที่ผู้ชมเคยดูหรือแสดงความสนใจ มาปรับใช้ในโฆษณา ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเนื้อหานั้น "ออกแบบมาเพื่อพวกเขา" โดยเฉพาะ ผลลัพธ์ที่ได้คือโอกาสในการดึงดูดความสนใจและเพิ่มการแปลง (conversion) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะที่โฆษณาแบบ Static มีเนื้อหาคงที่และเหมือนกันสำหรับผู้ชมทุกคน แม้จะเหมาะกับบางสถานการณ์ แต่ก็มักทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าขาดความเฉพาะตัวหรือไม่ตอบสนองต่อความต้องการเฉพาะของพวกเขา ซึ่งอาจส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงเมื่อเทียบกับโฆษณาที่ปรับแต่งได้

ในยุคที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนบุคคล การเลือกใช้โฆษณาแบบ Dynamic จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายคือการสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อกับผู้ชมอย่างแท้จริง

การควบคุมความถี่ของโฆษณา (Frequency Capping) ช่วยลดปัญหา Ad Fatigue ได้อย่างไร?

การควบคุมความถี่ในการแสดงโฆษณา (Frequency Capping)

การตั้งค่าความถี่ในการแสดงโฆษณาเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดปัญหา Ad Fatigue หรือความเบื่อหน่ายจากการเห็นโฆษณาซ้ำๆ มากเกินไป โดยการกำหนดจำนวนครั้งที่ผู้ใช้จะเห็นโฆษณาในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น จำกัดไว้ที่วันละ 3-5 ครั้ง วิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดความรำคาญของผู้ใช้ แต่ยังเพิ่มโอกาสที่โฆษณาจะดึงดูดความสนใจได้มากขึ้น

Frequency Capping ยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้ เพราะพวกเขาจะไม่รู้สึกเหมือนถูก "ตามติด" ด้วยโฆษณาเดิมซ้ำๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้แคมเปญโฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับธุรกิจของคุณอย่างชัดเจน

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ