เรียนรู้ 7 วิธีแก้ปัญหาโฆษณาสุขภาพบน Meta ที่จะช่วยธุรกิจปรับตัวให้เข้ากับนโยบายใหม่ในปี 2025.

7 วิธีแก้ปัญหาโฆษณาสุขภาพบน Meta
โฆษณาสุขภาพบน Meta กำลังเผชิญกับข้อจำกัดใหม่ในปี 2025 ซึ่งอาจทำให้ SME ไทยต้องปรับตัวเพื่อให้แคมเปญของตนผ่านการอนุมัติและมีประสิทธิภาพขึ้น บทความนี้สรุป 7 วิธีแก้ปัญหาสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงที่โฆษณาจะถูกปฏิเสธ พร้อมแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน:
- ปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด: หลีกเลี่ยงคำที่อ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น "รักษาขาด" และหลีกเลี่ยงภาพเปรียบเทียบ "ก่อน-หลัง"
- ใช้ข้อมูลลูกค้า (First-party Data): สร้างกลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลของลูกค้าเอง และสร้าง Lookalike Audiences เพื่อเพิ่มการเข้าถึง
- ติดตั้งระบบ Server-side Tracking: ใช้ Meta Conversions API เพื่อปรับปรุงความแม่นยำของข้อมูลและลดปัญหาการบล็อกข้อมูล
- หลีกเลี่ยงการกำหนดเป้าหมายที่ละเอียดเกินไป: ใช้กลยุทธ์ที่เน้นการเพิ่มการรับรู้ (Awareness) แทน
- ปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์และโครงสร้าง URL: เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและลดความเสี่ยงจากการจัดประเภทผิดพลาด
- เน้นเนื้อหาที่ให้ความรู้: ใช้ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือคำรับรองจากลูกค้าแทนการขายตรง
- ติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบาย Meta: เพื่อปรับกลยุทธ์ตามแนวทางที่อัปเดต
สำคัญ: การปรับตัวและใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสุขภาพในไทยสามารถสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพและปฏิบัติตามนโยบายของ Meta ได้
ข้อควรระวังในการสร้างโฆษณา Facebook ads และนโยบายเฟสบุค I Jinny Marketing
ปัญหาหลักของโฆษณาสุขภาพบน Meta
ธุรกิจสุขภาพที่ต้องการโฆษณาบน Meta กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและประสิทธิภาพของแคมเปญ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะนโยบายที่ Meta ปรับเปลี่ยนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความท้าทายเฉพาะที่ธุรกิจในประเทศไทยต้องเผชิญอีกด้วย ด้านล่างนี้คือรายละเอียดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายและสาเหตุที่ทำให้โฆษณาถูกปฏิเสธ
การเปลี่ยนแปลงนโยบายโฆษณาสุขภาพของ Meta ในปี 2025
ในต้นปี 2025 Meta ได้ประกาศข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการแชร์ข้อมูลจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ถือว่า "ละเอียดอ่อน"
"เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 เราจะเริ่มนำข้อจำกัดเพิ่มเติมมาใช้กับเว็บไซต์และแอปพลิเคชันในหมวดหมู่ต่างๆ ที่ใช้ Meta Business Tools"
ข้อจำกัดใหม่นี้แบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจสุขภาพในรูปแบบที่แตกต่างกัน:
ระดับข้อจำกัด | รายละเอียด | ผลกระทบต่อธุรกิจไทย |
---|---|---|
Core Setup | จำกัดการส่งข้อมูลพารามิเตอร์และ URL | ธุรกิจต้องตรวจสอบการติดตาม event อย่างละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งข้อมูลที่ต้องห้าม |
Mid-Restricted Properties | จำกัดการปรับแต่ง mid- และ lower-funnel รวมถึงการติดตาม conversion และ retargeting | ต้องปรับกลยุทธ์การโฆษณาและการติดตามการมีส่วนร่วม |
Full-Restricted Properties | ไม่สามารถติดตาม mid- หรือ lower-funnel events ได้; custom conversion events ถูกบล็อกทั้งหมด | จำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้เป้าหมายโฆษณาอื่น เช่น Awareness, Engagement และ Traffic |
สาเหตุที่โฆษณาสุขภาพถูกปฏิเสธ
มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้โฆษณาสุขภาพถูกปฏิเสธ ซึ่งรวมถึง:
-
การอ้างสรรพคุณเกินจริงและเนื้อหาที่ถูกจำกัด
เนื้อหาที่อ้างถึงความสามารถในการรักษาหรือบรรเทาอาการ, การใช้คำที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขทางการแพทย์เฉพาะ, การแสดงภาพ "ก่อน-หลัง" หรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลด้านสุขภาพ"Meta ถือว่าการซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพของลูกค้าเป็น 'ข้อมูลสุขภาพ' ดังนั้นหากคุณติดตามการซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวและส่งข้อมูลนั้นกลับไปยัง Meta จะถือว่าละเมิด HIPAA ภายใต้นโยบายโฆษณาของพวกเขา"
-
การกำหนดเป้าหมายที่ไม่เหมาะสม
การกำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มที่มีเงื่อนไขสุขภาพเฉพาะถือเป็น "Sensitive Category Ads" ซึ่ง Meta มีข้อจำกัดในการเข้าถึงผู้ชมและลดตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายแบบละเอียด
นอกจากนี้ ในปี 2024 FTC ได้ดำเนินการกับ Monument เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ให้กับแพลตฟอร์มโฆษณาบุคคลที่สาม ซึ่งรวมถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับลูกค้าที่อยู่ในกระบวนการฟื้นตัวจากการติดสุรา
7 วิธีแก้ปัญหาโฆษณาสุขภาพบน Meta
เมื่อเข้าใจถึงปัญหาและความท้าทายที่ธุรกิจสุขภาพต้องเผชิญกับนโยบายใหม่ของ Meta แล้ว เรามาดู 7 วิธีที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SME ในประเทศไทย
ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นโยบายในเนื้อหาและภาพโฆษณา
การสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับแนวทางของ Meta เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้โฆษณาผ่านการตรวจสอบจากระบบ AI
- คำและวลีที่ควรหลีกเลี่ยง: หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ดูโอ้อวดหรือรับประกันผลลัพธ์ เช่น "รักษาขาด", "ปลอดภัย 100%" หรือ "ได้ผลทันที" ซึ่งเป็นคำที่อาจทำให้โฆษณาถูกปฏิเสธ
- การเลือกภาพที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการใช้ภาพเปรียบเทียบ "ก่อน-หลัง" และเลือกภาพที่สื่อถึงไลฟ์สไตล์ที่ดี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน หรือภาพที่ดูเรียบง่ายแต่ดูดี
- กลยุทธ์เนื้อหาที่สร้างความน่าเชื่อถือ: เน้นเนื้อหาที่ให้ความรู้ เช่น ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ หรือคำรับรองจากลูกค้าจริง แทนการขายตรง และหลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วย ซึ่งอาจทำให้ระบบ AI มองว่าเป็นปัญหา
นอกจากนี้ การใช้ข้อมูลลูกค้าโดยตรงยังช่วยให้การกำหนดเป้าหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใช้ข้อมูลลูกค้าของตัวเองในการกำหนดเป้าหมาย
การใช้ข้อมูลลูกค้าที่คุณมีอยู่ (First-party Data) เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดข้อจำกัดของ Meta และเพิ่มความแม่นยำในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
- การแบ่งกลุ่มผู้ชมและ Lookalike Audiences: แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามความสนใจ พฤติกรรม หรือข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ หรือพฤติกรรมการซื้อในอดีต เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องของโฆษณา การสร้าง Lookalike Audiences ยังช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับลูกค้าเดิม
- การปฏิบัติตาม PDPA: รักษาความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการขอความยินยอมจากลูกค้า และทำให้ข้อมูลเป็นแบบไม่ระบุตัวตน (anonymize) เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA
ติดตั้งระบบติดตามแบบ Server-Side เพื่อข้อมูลที่ดีกว่า
Server-side tracking ช่วยเก็บข้อมูลการโต้ตอบผ่านเซิร์ฟเวอร์ของคุณก่อนส่งต่อไปยังแพลตฟอร์ม วิธีนี้ช่วยให้คุณได้ข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้น เนื่องจากไม่ถูกบล็อกโดย ad blockers อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับ Meta Conversions API (CAPI) เพื่อเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลและปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญ
กรณีศึกษา: ความสำเร็จของ VenueE Performance Marketing
กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงการนำกลยุทธ์ที่เหมาะสมมาใช้ เพื่อช่วยให้ธุรกิจด้านสุขภาพสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของนโยบาย Meta ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรับสมัครผู้เข้าร่วมการทดลองทางคลินิก
เมื่อ Meta ออกนโยบายใหม่ที่ห้ามใช้เหตุการณ์อย่าง "Purchase" หรือ "Add to Cart" ในการปรับแต่งโฆษณา บริษัทวิจัยทางการแพทย์แห่งหนึ่งในประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย VenueE Performance Marketing ซึ่งเป็น Meta Badged Partner ได้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้
อุปสรรคสำคัญ: ระบบ AI ของ Meta จัดประเภทแบรนด์ผิดพลาด ทำให้โฆษณาถูกปฏิเสธ แม้ว่าเนื้อหาจะไม่ขัดต่อนโยบายที่กำหนดไว้
วิธีการแก้ปัญหาโดย VenueE:
- ปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์และโครงสร้าง URL รวมถึงการใช้ native lead forms เพื่อรวบรวมข้อมูลที่สอดคล้องกับนโยบาย
ด้วยวิธีการนี้ VenueE สามารถช่วยให้แคมเปญของลูกค้าเดินหน้าต่อไปได้ นอกจากนี้ยังต่อยอดด้วยการใช้ข้อมูลและการออกแบบครีเอทีฟที่ตอบโจทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น
การใช้ข้อมูลและครีเอทีฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
หลังจากปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างพื้นฐาน VenueE ได้ยกระดับแคมเปญด้วยการใช้ข้อมูลและครีเอทีฟอย่างเป็นระบบ โดยมีการติดตั้งระบบ server-side tracking ที่เชื่อมต่อกับ Meta Conversions API เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้อมูล first-party เพื่อสร้าง Lookalike Audiences ซึ่งช่วยให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจในบริการด้านสุขภาพได้อย่างตรงจุด
VenueE ยังให้ความสำคัญกับการรายงานผลที่โปร่งใส โดยจัดทำ dashboard ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะแคมเปญแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งมีการประชุมร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์และเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง
sbb-itb-4ffe5b5
สรุป: ประเด็นสำคัญและขั้นตอนการดำเนินงาน
การจัดการปัญหาโฆษณาสุขภาพบนแพลตฟอร์ม Meta จำเป็นต้องใช้กลยุทธ์ที่ผสมผสานทั้งการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การใช้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Meta ได้ปรับปรุงวิธีจัดการข้อมูลด้านสุขภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดข้อบังคับต่าง ๆ เช่น HIPAA ในสหรัฐฯ ตามที่ Rémi Kerhoas ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลกล่าวไว้ว่า:
"Meta is doing its best to comply with regulations (think HIPAA in the U.S., etc.) to avoid fines"
ขั้นตอนสำคัญที่ธุรกิจควรดำเนินการ
ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการตรวจสอบเนื้อหาโฆษณาและหน้าเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับแนวทางของ Meta รวมถึงการใช้ข้อมูลลูกค้าจริงในการสร้างกลุ่มเป้าหมาย Lookalike Audiences ซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มอัตราการแปลงสูงถึง 70% เมื่อเปรียบเทียบกับการกำหนดเป้าหมายแบบกว้าง.
การนำ Conversions API และ server-side tracking มาใช้ ยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ. นอกจากนี้ การกระจายงบประมาณโฆษณาไปยังหลายช่องทางยังช่วยให้แคมเปญมีเสถียรภาพมากขึ้น.
ตัวช่วยสำหรับธุรกิจสุขภาพในประเทศไทย
สำหรับธุรกิจสุขภาพในประเทศไทยที่ต้องการคำแนะนำ VenueE Performance Marketing ซึ่งเป็น Meta Badged Partner ที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ สามารถช่วยให้ธุรกิจลดความเสี่ยงจากการจัดประเภทผิดพลาด และรักษาประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างต่อเนื่อง. ด้วยประสบการณ์การจัดการงบโฆษณามากกว่า 150 ล้านบาทต่อปี VenueE มีความเชี่ยวชาญในการให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละธุรกิจ
การปรับตัวและการติดตามแนวโน้ม
ธุรกิจควรติดตามการเปลี่ยนแปลงของนโยบายและแนวโน้มในอุตสาหกรรมอย่างสม่ำเสมอ. ความสามารถในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกลยุทธ์ที่หลากหลาย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา.
FAQs
ทำไม Meta ถึงเริ่มใช้ข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับการโฆษณาสุขภาพในปี 2025?
Meta ออกข้อจำกัดใหม่สำหรับโฆษณาสายสุขภาพในปี 2025
Meta เตรียมบังคับใช้ข้อจำกัดใหม่สำหรับโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในปี 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้และจัดการข้อมูลที่มีความอ่อนไหว เช่น ข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อจำกัดเหล่านี้รวมถึง:
- การลดการกำหนดเป้าหมายโฆษณา: การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน เช่น ข้อมูลสุขภาพ จะถูกจำกัดมากขึ้น
- การห้ามติดตามเหตุการณ์บางอย่าง: เช่น การแปลงยอดขาย สำหรับบัญชีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยเฉพาะ
มาตรการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ใช้และตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในสายสุขภาพอาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โฆษณาเพื่อให้ยังคงสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพภายใต้เงื่อนไขใหม่เหล่านี้.
การใช้ข้อมูลลูกค้า (First-party Data) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาได้อย่างไร?
การใช้ข้อมูลลูกค้า (First-party Data) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา
ข้อมูลลูกค้า (First-party Data) ถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่ช่วยยกระดับแคมเปญโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันช่วยให้ธุรกิจสามารถ:
- ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย: ด้วยข้อมูลที่ได้จากพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า ธุรกิจสามารถสร้างเนื้อหาที่ตรงใจและน่าสนใจยิ่งขึ้น
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ: ใช้ข้อมูลจริง เช่น ประวัติการซื้อหรือการเยี่ยมชมเว็บไซต์ เพื่อระบุและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุด
- วิเคราะห์ผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน: การมีข้อมูลที่ละเอียดช่วยให้สามารถประเมินผลแคมเปญได้ดีขึ้น และปรับปรุงกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ได้มากขึ้น
เมื่อใช้งานข้อมูลเหล่านี้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ธุรกิจของคุณจะสามารถเพิ่ม ROI ได้อย่างชัดเจน พร้อมสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง!
การติดตั้งระบบ Server-side Tracking ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้โฆษณาบน Meta ได้อย่างไร?
การติดตั้งระบบ Server-side Tracking
การใช้งาน Server-side Tracking ช่วยให้การติดตามข้อมูลโฆษณามีความแม่นยำมากขึ้น โดยลดผลกระทบจากปัจจัยที่อาจรบกวน เช่น โปรแกรมบล็อกโฆษณา หรือการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวของเบราว์เซอร์ที่ปิดกั้นคุกกี้ วิธีนี้ช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลลูกค้าได้ครบถ้วนและถูกต้องยิ่งขึ้น
เมื่อคุณมีข้อมูลที่ครบถ้วนและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และปรับแต่งแคมเปญโฆษณาก็จะทำได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ และยังเปิดโอกาสให้ธุรกิจของคุณสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีกว่าเดิมอีกด้วย
