Published Jun 4, 2025 ⦁ 4 min read

Dynamic Ads และ Static Ads มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันในการทำ Remarketing และส่งผลต่อ ROI ของธุรกิจอย่างไร?

Dynamic Ads vs Static Ads: อันไหนให้ ROI สูงกว่าใน Remarketing?

Dynamic Ads vs Static Ads: อันไหนให้ ROI สูงกว่าใน Remarketing?

Dynamic Ads และ Static Ads ต่างมีข้อดีที่เหมาะกับธุรกิจและเป้าหมายที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในกลยุทธ์ Remarketing ที่เน้นเพิ่ม ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) การเลือกใช้โฆษณาแต่ละแบบมีข้อควรพิจารณาดังนี้:

Dynamic Ads:

  • ปรับเนื้อหาอัตโนมัติตามพฤติกรรมลูกค้า เช่น แสดงสินค้าที่เคยดู
  • เหมาะสำหรับ E-commerce ที่มีสินค้าหลากหลาย
  • ROI สูงในระยะยาว แต่ต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า

Static Ads:

  • เนื้อหาคงที่ สื่อสารข้อความเดียวกันกับทุกคน
  • เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์หรือแคมเปญสั้นๆ
  • ต้นทุนต่ำและสร้างง่าย แต่ ROI อาจต่ำกว่าในระยะยาว

Quick Comparison

คุณสมบัติ Dynamic Ads Static Ads
เนื้อหา ปรับเปลี่ยนอัตโนมัติตามข้อมูลลูกค้า คงที่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ต้นทุนเริ่มต้น สูงกว่า ต่ำกว่า
ROI สูงในระยะยาว ต่ำกว่าในบางกรณี
เหมาะสำหรับ Retargeting, สินค้าหลากหลาย การสร้างการรับรู้แบรนด์, ข้อความตรงจุด

สรุป: หากธุรกิจของคุณมีข้อมูลลูกค้าหรือสินค้าหลากหลาย Dynamic Ads จะช่วยเพิ่ม ROI ได้ดีกว่า แต่ถ้าต้องการความเรียบง่ายและต้นทุนต่ำ Static Ads เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

Step-by-Step Facebook Ads Dynamic Remarketing For Beginners Tutorial In 2025 | Shopify Ecommerce

Shopify

ความแตกต่างระหว่าง Dynamic Ads และ Static Ads ใน Remarketing

ในตลาดไทยที่มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 63 ล้านคน หรือประมาณ 88% ของประชากรทั้งหมด การเลือกใช้โฆษณาแบบ Dynamic หรือ Static ใน Remarketing มีความสำคัญอย่างมาก มาดูจุดเด่นและข้อแตกต่างของโฆษณาทั้งสองประเภทนี้กัน

การปรับแต่งเนื้อหาและความเกี่ยวข้อง

Dynamic Ads ใน Remarketing ถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้ใช้แบบเฉพาะเจาะจง เช่น การแสดงสินค้าที่พวกเขาเคยดูหรือเพิ่มลงในตะกร้า โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรมเพื่อปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงใจผู้ใช้แต่ละคน ระบบสามารถดึงข้อมูลจากหลากหลายแหล่ง เช่น โซเชียลมีเดีย และปรับเปลี่ยนโฆษณาแบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

ในทางกลับกัน Static Ads ส่งข้อความเดียวกันให้กับทุกคนโดยไม่มีการปรับแต่งตามความสนใจของแต่ละบุคคล แม้จะดูเหมือนขาดความเฉพาะตัว แต่ Static Ads มีข้อดีในเรื่องการสร้างการจดจำแบรนด์และการสื่อสารข้อความที่ชัดเจน

Dynamic Creative Optimization (DCO) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ AI ในการปรับแต่งโฆษณาโดยอิงจากข้อมูลผู้ใช้ เช่น เวลา, สถานที่ และประวัติการเข้าชม ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับตลาดไทยที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตใช้เวลาเฉลี่ย เกือบ 8 ชั่วโมงต่อวัน การปรับเปลี่ยนแบบเรียลไทม์จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือแคมเปญของ McDonald's ในฟุตบอลโลก 2022 ที่ใช้ Dynamic Creative Solutions ในการทำโฆษณาระดับโลก หรือแบรนด์เครื่องสำอางที่เจาะตลาดไทย โดยเน้นกลุ่มอายุ 18-24 ปีด้วยแนวทางเดียวกัน

ความซับซ้อนในการตั้งค่าและการดูแลรักษา

Static Ads มีข้อได้เปรียบในเรื่องความง่ายและความรวดเร็วในการสร้างและใช้งาน ไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคมาก

"Static ads are among the easiest to create, especially if we talk about static banner ads. Usually, you don't need a lot of technical expertise to produce and publish an ad. Moreover, as their content is always stable, there is no need for further maintenance or control." - Irina Kovalenko, CMO ของ SmartyAds

ในขณะที่ Dynamic Ads ต้องการการเชื่อมต่อกับระบบฐานข้อมูลสินค้าและการติดตามที่ซับซ้อนกว่า

"To create a successful auto-target dynamic campaign one has to spend lots of time and effort. Moreover, such a campaign also requires better expertise which may pose a serious challenge for advertising newbies." - Irina Kovalenko, CMO ของ SmartyAds

ปัจจัย Static Ads Dynamic Ads
ความซับซ้อน ง่าย, ใช้เวลาน้อย ซับซ้อน, ต้องเชื่อมต่อฐานข้อมูล
ต้นทุน ประหยัด, ใช้ทรัพยากรน้อย สูงกว่า, ต้องลงทุนในเนื้อหาแบบไดนามิก
การดูแลรักษา ต่ำ, ไม่ต้องอัปเดตบ่อย สูง, ต้องอัปเดตเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
การทดสอบ A/B ง่าย, เนื้อหาคงที่ ซับซ้อน, เนื้อหาเปลี่ยนแปลง

Static Ads เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด เพราะไม่ต้องการการดูแลรักษามากนัก ในขณะที่ Dynamic Ads อาจเหมาะกับธุรกิจที่มีความพร้อมด้านเทคนิคและงบประมาณมากขึ้น

การปรับโฆษณาให้เหมาะกับผู้ชมไทย

ผู้บริโภคชาวไทยคาดหวังว่าแบรนด์จะสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าถึงอารมณ์และสะท้อนวัฒนธรรมของพวกเขา นอกจากนี้ การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ในระดับลึกก็เป็นสิ่งที่สำคัญ

การวิเคราะห์ ROI: Dynamic Ads vs Static Ads

การเลือกใช้โฆษณาแบบ Dynamic หรือ Static ในการทำ Remarketing มีผลโดยตรงต่อผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ซึ่งการตัดสินใจที่เหมาะสมควรพิจารณาจากต้นทุน ประสิทธิภาพ และตัวชี้วัดสำคัญที่เกี่ยวข้อง การเปรียบเทียบระหว่างสองรูปแบบนี้จึงช่วยให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่ารูปแบบใดเหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ

การวิเคราะห์ต้นทุนสำหรับ SME ไทย

Static Ads มีข้อได้เปรียบในแง่ของความเรียบง่ายและต้นทุนที่ต่ำกว่า เนื่องจากไม่ต้องพึ่งพาระบบซับซ้อนหรือการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล ในทางกลับกัน Dynamic Ads ต้องการการลงทุนในเริ่มต้นที่สูงกว่า ทั้งในด้านการตั้งค่าระบบและการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง

เมื่อพูดถึงค่าใช้จ่าย เช่น CPC (Cost Per Click) และ CPM (Cost Per Thousand Impressions) บนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook และ LINE OA พบว่า Dynamic Ads มักมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่สูงกว่า แต่ความแม่นยำในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายช่วยเพิ่ม ROI ได้ในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการการปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย

การเปรียบเทียบผลลัพธ์การแคมเปญ

นอกจากต้นทุนแล้ว ประสิทธิภาพของแคมเปญเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กำหนด ROI โดยตัวชี้วัดอย่าง CTR (Click-Through Rate) และ Conversion Rate เป็นเครื่องมือหลักที่ใช้วัดผลลัพธ์ของ Remarketing:

  • งานวิจัยเผยว่า Facebook Dynamic Product Ads ช่วยเพิ่ม CTR ได้ถึง 34% และอัตราการแปลงลูกค้าเพิ่มขึ้น 38%
  • อีกทั้ง 71% ของผู้บริโภคคาดหวังการมีปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะบุคคล ซึ่ง Dynamic Ads ที่ปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้าสามารถเพิ่ม ROI ได้ในช่วง 10-30%

กรณีศึกษาธุรกิจไทย

มีตัวอย่างที่ชัดเจนจากธุรกิจไทยที่ใช้ Dynamic Ads ในการ Remarketing:

  • Lacoste ใช้โฆษณาที่ขับเคลื่อนด้วย AI และสามารถสร้างผลตอบแทนสูงกว่า 90%
  • Sporijinal แบรนด์เสื้อผ้ากีฬา สามารถเพิ่มรายได้ได้ถึง 7.1 เท่าด้วยการใช้ AI Ad Remarketing

กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า Dynamic Ads ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาวอีกด้วย

วิธีเพิ่ม ROI สูงสุดในแคมเปญ Remarketing

การเพิ่ม ROI ในแคมเปญ Remarketing ต้องอาศัยการเลือกใช้โฆษณาที่เหมาะสมกับเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยการเลือกใช้ Dynamic Ads หรือ Static Ads ขึ้นอยู่กับความต้องการและจุดแข็งของแต่ละรูปแบบ รวมถึงการวางแผนที่ชัดเจน

เมื่อไหร่ควรเลือกใช้ Dynamic Ads

Dynamic Ads เหมาะสำหรับธุรกิจที่มี Product Feed ครบถ้วนและระบบติดตามที่แม่นยำ ข้อมูลวิจัยแสดงให้เห็นว่าโฆษณาแบบ Dynamic สามารถเพิ่มอัตราการคลิก (CTR) ได้ถึง 35% โฆษณาประเภทนี้เหมาะกับธุรกิจ E-commerce ที่มีสินค้าหลากหลาย เนื่องจากสามารถแสดงสินค้าที่ลูกค้าเคยดูหรือสนใจได้โดยอัตโนมัติ

การใช้ HTML5 เพื่อสร้าง Custom Dynamic Creatives จะช่วยให้โฆษณาทำงานได้ดีบนทุกอุปกรณ์ ทำให้การ Retarget มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สถานการณ์ที่ควรใช้ Dynamic Ads:

  • กลุ่มลูกค้าที่เคยเข้าชมสินค้า หรือทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า
  • ต้องการขยายโฆษณาแบบ Personalized โดยไม่ต้องออกแบบใหม่ทุกครั้ง
  • ธุรกิจที่มีสินค้าจำนวนมากและต้องการแสดงโฆษณาที่ตรงกับความสนใจของลูกค้าแต่ละราย

เมื่อไหร่ควรเลือกใช้ Static Ads

หากคุณต้องการควบคุมภาพลักษณ์และข้อความในโฆษณาอย่างชัดเจน Static Ads จะตอบโจทย์ได้ดี จุดเด่นของ Static Ads คือการสร้าง Brand Awareness และการสื่อสารข้อความที่ชัดเจนและสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์

Static Ads ยังให้อิสระในการออกแบบครีเอทีฟ เช่น การใช้ GIF หรือ HTML5 เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและทำให้โฆษณามีประสิทธิภาพมากขึ้น

สถานการณ์ที่ Static Ads มีประสิทธิภาพสูงสุด:

  • การสร้างการรับรู้แบรนด์ที่ต้องการความสม่ำเสมอในภาพลักษณ์และข้อความ
  • การโปรโมทแคมเปญพิเศษ เช่น การลดราคาตามฤดูกาล หรือกิจกรรมพิเศษ
  • การสร้าง Lead ในธุรกิจ B2B ที่ต้องการสื่อสารข้อความอย่างชัดเจน
  • ธุรกิจที่มีสินค้าจำกัดหรือเน้นตลาดเฉพาะกลุ่ม

การใช้ Pre-set Conditions และ Filters ยังช่วยกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น การยกเว้นผู้ที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว

การใช้ Static Ads และ Dynamic Ads ร่วมกัน

การผสานการใช้ Static Ads และ Dynamic Ads ในแคมเปญ Remarketing สามารถสร้างประสบการณ์ที่ครอบคลุมและส่งผลดีต่อ ROI โดยเริ่มต้นด้วย Static Ads เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ จากนั้นใช้ Dynamic Ads สำหรับการ Retarget กลุ่มลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์

การวางแผนและเลือกใช้โฆษณาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้แคมเปญ Remarketing ของคุณสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางการตลาดและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่!

sbb-itb-4ffe5b5

ข้อสรุปสำคัญสำหรับ SME ไทย

การตัดสินใจเลือกระหว่าง Dynamic Ads และ Static Ads ในการทำ Remarketing นั้น ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย งบประมาณ และความต้องการเฉพาะของธุรกิจ การเข้าใจจุดเด่นของแต่ละรูปแบบจะช่วยให้ SME ไทยสามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างเหมาะสม

Dynamic Ads: การปรับเนื้อหาเฉพาะบุคคลเพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม

Dynamic Ads มีจุดเด่นที่การปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและข้อมูลประชากรของผู้ใช้ในแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การโฆษณามีความตรงเป้าหมายมากขึ้น โดยข้อมูลชี้ให้เห็นว่า อัตรา Conversion ของ Dynamic Remarketing สูงกว่าการทำ Remarketing แบบดั้งเดิมถึง 3 เท่า และสามารถเพิ่ม ROI ได้มากถึง 300%

"Dynamic ads allow you to show only those ads that will appeal at that specific moment of the purchase cycle, ensuring that the user sees something they'll find useful or enjoyable while advancing them closer towards a purchase decision." - Sprinklr Team

Dynamic Ads เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ E-commerce ที่มีสินค้าหลากหลาย โดยเฉพาะการ Retarget ลูกค้าที่เคยดูสินค้าหรือทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Static Ads: เรียบง่ายและเน้นการสื่อสารที่สม่ำเสมอ

Static Ads เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความเรียบง่ายและการสื่อสารแบบคงที่ โดยโฆษณาประเภทนี้ใช้ข้อความเดียวกันสำหรับผู้ชมทุกคนโดยไม่มีการปรับแต่ง นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความยืดหยุ่นในการออกแบบและสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ชัดเจน

ข้อดีของ Static Ads คือ ความง่ายในการสร้างและจัดการ ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ทั้งยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพด้วยการใช้โฆษณาแบบ Animated ที่ช่วยเพิ่มอัตราการจดจำได้มากขึ้นถึง 10% และสร้างการมีส่วนร่วมสูงกว่าโฆษณาคงที่ถึง 20%

Static Ads จึงเหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์ การโปรโมทแคมเปญพิเศษ หรือการสื่อสารข้อความที่ต้องการความชัดเจนและสม่ำเสมอ

แนวทางการเลือกใช้ที่เหมาะสม

การเลือกใช้ Dynamic หรือ Static Ads ควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมาย วัตถุประสงค์ทางการตลาด และงบประมาณของธุรกิจ สำหรับ SME ไทยที่เพิ่งเริ่มต้น การเริ่มต้นด้วย Static Ads อาจเป็นตัวเลือกที่ง่ายกว่า เนื่องจากมีความซับซ้อนต่ำและใช้งบประมาณน้อยกว่า ส่วนธุรกิจที่มีข้อมูลลูกค้าครบถ้วนและต้องการเพิ่มการมีส่วนร่วม Dynamic Ads อาจเป็นตัวเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

การผสานการใช้ทั้ง Static และ Dynamic Ads ยังช่วยสร้างความสมดุลระหว่างการสร้างการรับรู้แบรนด์และการ Retarget ที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ Static Ads เพื่อโปรโมทแบรนด์ในช่วงเริ่มต้น และ Dynamic Ads ในการ Retarget ลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับเว็บไซต์ นอกจากนี้ การทดสอบ A/B และการวิเคราะห์ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจค้นพบกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด

FAQs

Dynamic Ads เหมาะกับธุรกิจประเภทใด และทำไมถึงช่วยเพิ่ม ROI ในการทำ Remarketing ได้ดีกว่า?

Dynamic Ads: ตัวช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจที่มีสินค้าหลากหลาย

Dynamic Ads เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มีสินค้าหรือบริการจำนวนมาก เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพราะโฆษณาประเภทนี้สามารถปรับแต่งเนื้อหาให้ตรงกับความสนใจของแต่ละบุคคลได้โดยใช้ข้อมูลผู้ใช้งานเป็นหลัก ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของผู้ชมและกระตุ้นให้เกิดการกระทำ เช่น การซื้อสินค้า หรือการลงทะเบียนบริการ ทั้งนี้ มีการระบุว่าการใช้ Dynamic Ads สามารถเพิ่มอัตราการเปลี่ยนแปลง (Conversion Rate) ได้มากถึง 30% เมื่อเทียบกับ Static Ads

อีกหนึ่งข้อดีของ Dynamic Ads คือช่วยให้ธุรกิจใช้งบประมาณโฆษณาได้อย่างคุ้มค่า โดยการมุ่งเป้าหมายไปยังกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความสนใจสูง (High-Intent Users) ซึ่งช่วยดึงดูดลูกค้าที่อาจหลุดมือไปกลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ROI ที่ดีขึ้นในระยะยาว เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในแคมเปญ Remarketing อย่างชัดเจนและตรงจุด

Static Ads มีข้อดีอะไรที่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็กในกลยุทธ์ Remarketing?

Static Ads: ตัวเลือกที่เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กในแคมเปญ Remarketing

Static Ads มีจุดเด่นหลายประการที่ทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงการทำ Remarketing:

  • ควบคุมการออกแบบและข้อความได้ง่าย: Static Ads เปิดโอกาสให้ธุรกิจสร้างโฆษณาที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบอัตโนมัติหรือเครื่องมือที่ซับซ้อน
  • ประหยัดงบประมาณ: ด้วยต้นทุนที่มักต่ำกว่า Dynamic Ads ทำให้ Static Ads เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา
  • ใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา: การสร้างและจัดการ Static Ads ไม่ยุ่งยาก ช่วยประหยัดเวลาและให้ธุรกิจสามารถโฟกัสกับการพัฒนาเนื้อหาและกลยุทธ์อื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการควบคุมต้นทุนและสร้างโฆษณาที่สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน Static Ads จึงเป็นตัวเลือกที่ทั้งใช้งานง่ายและตอบโจทย์ความต้องการได้ดี.

การใช้ Dynamic Ads และ Static Ads ร่วมกันในแคมเปญ Remarketing ช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างไร?

การผสมผสาน Dynamic Ads และ Static Ads ในแคมเปญ Remarketing

การรวม Dynamic Ads และ Static Ads เข้าด้วยกันในแคมเปญ Remarketing ถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างน่าสนใจ เพราะ Dynamic Ads มีความสามารถในการปรับเนื้อหาโฆษณาให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้ใช้งาน โดยอาจแสดงสินค้าหรือบริการที่ผู้ใช้เคยเยี่ยมชมมาก่อน ซึ่งช่วยกระตุ้นความสนใจและเพิ่มโอกาสในการคลิก รวมถึงการเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในทางกลับกัน Static Ads มีบทบาทสำคัญในมิติของการสร้างความน่าเชื่อถือและการจดจำแบรนด์ การใช้ Static Ads ควบคู่ไปกับ Dynamic Ads ช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่มั่นคงของแบรนด์ หรือการปรับเนื้อหาโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า วิธีนี้ช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ในมุมมองที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ