Published May 27, 2025 ⦁ 5 min read

เรียนรู้วิธีการใช้ Remarketing เพื่อเพิ่มยอดขายในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พร้อมกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดลูกค้า.

Remarketing สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

Remarketing สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

Remarketing คือเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มยอดขายและสร้างความไว้วางใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในไทยที่ลูกค้ามักใช้เวลานานในการตัดสินใจซื้อหรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ ด้วย Remarketing ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าที่เคยแสดงความสนใจในโครงการได้อย่างตรงจุดผ่านโฆษณาเฉพาะเจาะจง เช่น โครงการที่พวกเขาสนใจหรือโปรโมชั่นพิเศษที่ดึงดูดใจ

ทำไม Remarketing ถึงสำคัญ?

  • เพิ่มโอกาสปิดการขาย: ลูกค้าที่ได้รับ Remarketing มีโอกาสเปลี่ยนเป็นผู้ซื้อสูงขึ้นถึง 70%
  • ลดต้นทุนโฆษณา: เน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจอยู่แล้ว
  • สร้างความคุ้นเคยกับแบรนด์: ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ดียิ่งขึ้น

วิธีเริ่มต้น Remarketing

  1. ติดตั้งเครื่องมือติดตาม เช่น Facebook Pixel หรือ Google Tag Manager
  2. แบ่งกลุ่มผู้ชม ตามพฤติกรรม เช่น ผู้ที่ดูโครงการหรือดาวน์โหลดโบรชัวร์
  3. ตั้งค่าโฆษณาเฉพาะเจาะจง เช่น โครงการในทำเลที่ลูกค้าสนใจ
  4. เลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม เช่น Google Ads สำหรับ Dynamic Ads หรือ Meta Ads สำหรับโฆษณาแบบ Carousel

ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ได้ผล

  • ใช้ Dynamic Remarketing เพื่อแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่ลูกค้าเคยดู
  • ตั้งค่า Behavioral Triggers เช่น ส่งข้อความติดตามหากลูกค้าเริ่มกรอกฟอร์มแต่ยังไม่ส่ง
  • ปรับข้อความโฆษณา ให้เหมาะกับฤดูกาล เช่น "บ้านใหม่สำหรับสงกรานต์นี้"

สรุป: Remarketing คือการลงทุนที่ช่วยเพิ่ม ROI และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าในระยะยาว โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการความไว้วางใจและการตัดสินใจที่ยาวนาน

Google Ads

การสร้างระบบ Remarketing ของคุณ

การเริ่มต้นสร้างระบบ Remarketing ต้องเตรียมทั้งเครื่องมือและกลยุทธ์ให้พร้อม เพื่อให้สามารถติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์อสังหาริมทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การติดตั้งเครื่องมือติดตาม

เครื่องมือสำคัญที่ควรใช้ ได้แก่ Facebook Pixel และ Google Tag Manager ซึ่งเป็นตัวช่วยในการติดตามพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บไซต์

  • Facebook Pixel: ช่วยเก็บข้อมูลผู้ใช้งานที่เข้าชมหน้าโครงการต่าง ๆ และสามารถสร้าง Custom Audience เพื่อแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Meta เช่น Facebook และ Instagram
  • Google Tag Manager: ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการจัดการโค้ดติดตามต่าง ๆ โดยไม่ต้องแก้ไขโค้ดเว็บไซต์โดยตรง ทำให้ทีมการตลาดสามารถปรับแต่ง tracking code ได้ง่ายขึ้น

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ควรติดตั้งโค้ดติดตามในหน้าที่สำคัญ เช่น หน้ารายละเอียดโครงการ, แกลเลอรี่ภาพ, โบรชัวร์ และฟอร์มติดต่อ เพื่อให้สามารถติดตามพฤติกรรมของผู้สนใจได้อย่างครบถ้วน

"For example, a brand would have a user-friendly website with active social pages across Meta, LinkedIn and Pinterest. They run ads on their social media channels and Google PPC, keeping a full-funnel strategy in mind to consistently reach new users and retarget past engagers." - Aleesha Qureshi, Paid Media Manager at Thrive Internet Marketing Agency

เมื่อการติดตั้งเครื่องมือติดตามเสร็จสมบูรณ์ ขั้นตอนถัดไปคือการแบ่งกลุ่มผู้ชมเพื่อการส่งข้อความที่ตอบโจทย์มากขึ้น

การแบ่งกลุ่มผู้ชม

การแบ่งกลุ่มผู้ชมเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้การสื่อสารทางการตลาดตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย สามารถแบ่งกลุ่มผู้สนใจได้หลายวิธี เช่น:

  • ตามประเภทและระดับราคา: แยกกลุ่มผู้ที่สนใจอสังหาริมทรัพย์ราคาประหยัดออกจากผู้ที่มองหาบ้านหรือคอนโดระดับหรู
  • ตามพฤติกรรมการใช้งาน: เช่น ผู้ที่ดูหน้ารายละเอียดโครงการหลายหน้า, ผู้ที่ดาวน์โหลดโบรชัวร์ หรือผู้ที่กลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ซ้ำในช่วงเวลาสั้น ๆ
  • ตามที่ตั้งทำเล: เน้นกลุ่มลูกค้าที่สนใจทำเลเฉพาะ เช่น คอนโดใกล้ BTS หรือบ้านในย่านชานเมืองที่ใกล้แหล่งงานสำคัญ

"Segmentation plays a key role in tailoring Google retargeting ads with pinpoint precision. Grouping your audience based on their behavior, interests, demographics or stage in the sales funnel guarantees that your ads align perfectly with their needs and expectations." - John Powell, Paid Search Engineer at Thrive Internet Marketing Agency

หลังจากแบ่งกลุ่มผู้ชมได้อย่างชัดเจนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตั้งค่า Behavioral Triggers เพื่อให้ระบบตอบสนองต่อพฤติกรรมเฉพาะของผู้ใช้งาน

การตั้งค่า Behavioral Triggers

Behavioral Triggers คือระบบการตลาดอัตโนมัติที่ตอบสนองต่อการกระทำเฉพาะของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้เริ่มกรอกฟอร์มแต่ไม่ได้ส่งข้อมูล สามารถตั้งค่าให้ระบบส่งข้อความติดตามอัตโนมัติไปยังผู้ใช้งานนั้น การใช้ระบบนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้สนใจให้กลายเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีการ Remarketing เฉพาะแต่ละแพลตฟอร์ม

แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่สามารถช่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับแคมเปญ Remarketing ไม่เพียงช่วยเพิ่มการมองเห็น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Google Ads เป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยเข้าถึงผู้ที่มีความสนใจในอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะการใช้ Dynamic Remarketing ที่สามารถแสดงโฆษณาแบบเฉพาะเจาะจง เช่น รายละเอียดโครงการที่ผู้ใช้เคยเยี่ยมชม

สำหรับตลาดในไทย คำค้นหาเฉพาะ เช่น "คอนโดใกล้ BTS อโศก" หรือ "บ้านเดี่ยวราคา ฿3,450,000" จะช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย การตั้งค่า Location Targeting ให้ครอบคลุมพื้นที่โครงการและบริเวณใกล้เคียงก็สำคัญไม่แพ้กัน.

"Google Ads Remarketing is a gentle nudge that turns interest into action."

การเพิ่ม Ad Extensions เช่น Sitelinks สำหรับลิงก์ไปยังหน้ารายละเอียดโครงการ, Call Extensions สำหรับแสดงเบอร์โทรติดต่อ และ Location Extensions สำหรับที่ตั้งสำนักงานขาย จะช่วยเพิ่มข้อมูลสำคัญให้กับโฆษณา.

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือบริษัท Makro Pro ซึ่งใช้ Google Search และ Dynamic Ads ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง: CPO ลดลง 94%, ROI เพิ่มขึ้น 12 เท่า และ AOV เพิ่มขึ้น 2.4 เท่า.

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด ควรตั้งงบประมาณรายวันและติดตามค่าใช้จ่ายอย่างใกล้ชิด พร้อมใช้ Google's Keyword Planner เพื่อค้นหาคำค้นหาใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์.

จาก Google Ads เรามาดูวิธีที่ Meta Ads สามารถใช้ Remarketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Meta Ads Remarketing

Meta Ads

Facebook และ Instagram เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นในการนำเสนอเนื้อหาที่ดึงดูดสายตา Carousel Ads เหมาะสำหรับการแสดงภาพมุมมองต่าง ๆ ของคอนโดหรือบ้าน ในขณะที่ Video Ads ช่วยนำเสนอการทัวร์โครงการแบบเสมือนจริงได้อย่างน่าสนใจ

บริษัท Aurum Brothers ใช้ Retargeting บน Facebook และได้รับ ROI สูงกว่าเดิมถึง 13 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับการโฆษณาแบบปกติ.

Dynamic Ads เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ปรับเนื้อหาโฆษณาตามพฤติกรรมผู้ใช้ เช่น หากผู้ใช้เคยดูคอนโดในย่านสุขุมวิท โฆษณาจะนำเสนอข้อมูลโครงการใหม่ในพื้นที่เดียวกัน ตัวอย่างเช่น KLM Royal Dutch Airlines ใช้เทคนิคนี้และเพิ่ม Conversion Rate ได้ถึง 87% เมื่อเทียบกับแคมเปญอื่น ๆ.

การใช้ Multi-product Ads หรือโฆษณาที่แสดงหลายผลิตภัณฑ์ในครั้งเดียว สามารถเพิ่ม Click-through Rate (CTR) ได้ถึง 300%, ลด Cost-per-click (CPC) ลง 35% และเพิ่มประสิทธิภาพ Cost-per-acquisition (CPA) ได้มากกว่า 250%.

"Accurate targeting is crucial for the success of your Facebook dynamic ads for real estate, especially when your goal is to secure more seller listing leads and buyer leads." - Anastasiia Ilchenko, Senior PPC in Promodo

การปรับ Remarketing ให้เข้ากับผู้ซื้อไทย

การทำให้แคมเปญ Remarketing สอดคล้องกับวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนไทยช่วยเพิ่มความน่าสนใจและสร้างความไว้วางใจได้มากขึ้น การเข้าใจลักษณะเฉพาะของผู้บริโภคไทยเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ

การสร้างเนื้อหาโฆษณาที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย

การนำองค์ประกอบของวัฒนธรรมไทยมาใช้ในโฆษณาช่วยเสริมสร้างความผูกพันและการจดจำแบรนด์ได้ดีขึ้น เช่น การใช้ภาพและเนื้อหาที่สะท้อนวิถีชีวิตแบบไทยแท้ มีผลเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้ถึง 2.7 เท่า เมื่อเทียบกับโฆษณาทั่วไป

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ Singha Beer ซึ่งใช้มรดกทางวัฒนธรรมไทยในวิดีโอโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้คนไทยเฉลิมฉลองลอยกระทงอย่างยั่งยืน สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การใช้ภาพครอบครัวไทยในบ้านหรือคอนโดช่วงเทศกาล เช่น การทำบุญตักบาตรหน้าโครงการ หรือการจัดงานสงกรานต์ในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ ช่วยสร้างความรู้สึกอบอุ่นและความเป็นกันเอง

แคมเปญ Remarketing ของโครงการอสังหาริมทรัพย์สามารถเน้นเรื่องเทศกาลในชุมชน เช่น การใช้ข้อความว่า "บ้านที่ทำให้ทุกเทศกาลมีความหมาย" หรือ "คอนโดใกล้วัดสำหรับการทำบุญในวันสำคัญ" เพื่อดึงดูดความสนใจ นอกจากนี้ การเลือกใช้สีที่มีความหมายในวัฒนธรรมไทย เช่น สีทอง สีแดง สีเขียว ยังช่วยเสริมความรู้สึกเชิงบวกให้กับโฆษณา

การเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสม

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทยมีลักษณะความต้องการตามฤดูกาลที่ชัดเจน โดยช่วงที่ความต้องการสูงสุดมักอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม และเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงสงกรานต์และปิดเทอมของโรงเรียน เป็นอีกช่วงสำคัญที่ครอบครัวไทยมักพิจารณาย้ายบ้านหรือหาที่อยู่อาศัยใหม่ การตั้งแคมเปญ Remarketing ด้วยข้อความอย่าง "บ้านใหม่ สำหรับชีวิตใหม่" หรือ "คอนโดใกล้โรงเรียนดัง เตรียมพร้อมสำหรับลูก" จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมาย

เดือน เทศกาล/เหตุการณ์ กลยุทธ์ Remarketing
เมษายน สงกรานต์ & ปิดเทอม เน้นครอบครัวและการเริ่มต้นใหม่
พฤษภาคม วันแรงงาน & วิสาขบูชา โปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนทำงาน
กรกฎาคม อาสาฬหบูชา & เข้าพรรษา เน้นความสงบและการอยู่ร่วมกัน
สิงหาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา โปรโมชั่นพิเศษเนื่องในวันสำคัญ

การตั้งแคมเปญให้ตรงกับฤดูกาลเป็นสิ่งสำคัญ แต่การปรับข้อความโฆษณาให้เหมาะสมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

การเขียนข้อความที่ดึงดูดใจคนไทย

ข้อความโฆษณาควรเน้นไปที่ประโยชน์โดยตรงที่ผู้บริโภคจะได้รับ เช่น ความสะดวกสบายและการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การชูจุดเด่นเรื่องการเลือกที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์สามารถช่วยลดเวลาเดินทาง ลดค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัวได้อย่างชัดเจน การเขียนข้อความที่สื่อถึงประโยชน์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้น

การติดตามและปรับปรุงประสิทธิภาพ

หลังจากตั้งค่าระบบ Remarketing เสร็จแล้ว การติดตามผลลัพธ์ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลและการปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้ดีขึ้น และสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับตลาดในประเทศไทยได้อย่างแม่นยำ การตรวจสอบตัวชี้วัดสำคัญจะช่วยให้คุณปรับปรุงแผนการตลาดได้อย่างตรงจุด

ตัวชี้วัดสำคัญที่ควรติดตาม

การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าแคมเปญของคุณกำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ ตัวชี้วัดหลักที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่:

  • Click-through Rate (CTR): วัดความน่าสนใจของโฆษณา
  • Conversion Rate: ตรวจสอบอัตราการเปลี่ยนผู้ชมเป็นลูกค้า
  • Cost per Lead (CPL): ประเมินต้นทุนต่อการได้มาซึ่งลีด
  • Return on Ad Spend (ROAS): วัดผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณา

ข้อมูลเผยว่าโฆษณา Facebook แบบวิดีโอสามารถเพิ่มการสอบถามได้ถึง 403% และโฆษณา Facebook สำหรับอสังหาริมทรัพย์มีอัตราการแปลงเฉลี่ยอยู่ที่ 10.67% นอกจากนี้ การแยกติดตาม View-through Conversions และ Click-through Conversions ยังช่วยให้คุณเข้าใจว่าลูกค้าตอบสนองต่อโฆษณาอย่างไร บางครั้งลูกค้าอาจเห็นโฆษณาแล้วไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในช่องทางอื่นก่อนติดต่อกลับมา

"ถึงแม้การลดราคาประมูลเพื่อให้ได้ Cost per Click ที่ต่ำลงอาจดูน่าสนใจ แต่การลด CPC ไม่ควรมาพร้อมกับการเสียโอกาสในการทำกำไร คุณอาจได้ ROAS ที่สูงขึ้น แม้ว่า CPC จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย" - Sam Yadegar, Co-founder และ CEO ของ HawkSEM

นักโฆษณาที่ใช้เครื่องมือวัดผลที่มีความซับซ้อนสามารถเพิ่มการแปลงได้ถึง 30% การใช้ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณพัฒนาแคมเปญไปในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น

การตั้งค่าโมเดล Attribution ที่เหมาะสม

การตั้งค่าโมเดล Attribution ที่เหมาะสมช่วยให้คุณเข้าใจบทบาทของแต่ละจุดสัมผัสในกระบวนการตัดสินใจของลูกค้า โดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ลูกค้าต้องใช้เวลาคิดและสัมผัสกับโฆษณาหลายครั้งก่อนตัดสินใจ สถิติระบุว่าลูกค้าโดยเฉลี่ยต้องมีจุดสัมผัส 7-13 ครั้ง ก่อนที่จะกลายเป็นลีดที่มีคุณภาพ และใช้ช่องทางการติดต่อเฉลี่ย 10 ช่องทาง ในการสื่อสารกับบริษัท

โมเดล Attribution การให้คะแนน เหมาะสำหรับ ข้อดี ข้อเสีย
First-touch 100% ให้จุดสัมผัสแรก หาแหล่งลูกค้าใหม่ เข้าใจง่าย แสดงจุดดึงดูด ไม่พิจารณาจุดสัมผัสอื่น
Last-touch 100% ให้จุดสัมผัสสุดท้าย วัดผลการปิดการขาย เข้าใจง่าย แสดงตัวกระตุ้นสุดท้าย ไม่พิจารณากระบวนการก่อนหน้า
Linear แบ่งเท่าๆ กันทุกจุดสัมผัส แคมเปญระยะยาว ยุติธรรมกับทุกช่องทาง อาจไม่สะท้อนความสำคัญจริงของแต่ละจุดสัมผัส
Time Decay ให้เครดิตมากขึ้นกับจุดสัมผัสที่ใกล้การแปลง แคมเปญที่มีการตัดสินใจเร็ว แสดงการมีส่วนร่วมในช่วงท้าย อาจลดความสำคัญของจุดสัมผัสแรก

การเลือกโมเดลที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณเข้าใจเส้นทางของลูกค้าได้ชัดเจนขึ้น และสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น

sbb-itb-4ffe5b5

สรุปและขั้นตอนต่อไป

การเพิ่ม ROI ด้วย Remarketing

Remarketing เป็นเครื่องมือที่ช่วยลดต้นทุนโฆษณาและเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้สนใจเป็นลูกค้าในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เยี่ยมชมที่ได้รับการ Retarget มีโอกาสเปลี่ยนเป็นลูกค้าสูงขึ้นถึง 70% และโฆษณา Remarketing ยังมีอัตราการคลิก (CTR) สูงกว่าโฆษณาแสดงผลทั่วไปถึง 2-4 เท่า

การลงทุนใน Remarketing ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดย 85% ของนักโฆษณาระบุว่า Retargeting ช่วยให้ ROI เป็นบวก และยังช่วยเพิ่มอัตราการแปลงเฉลี่ยได้ถึง 40% ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่การตัดสินใจซื้อของลูกค้ามักใช้เวลานาน การทำให้แบรนด์ยังคงอยู่ในความสนใจของลูกค้าผ่าน Remarketing จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนสู่ความสำเร็จ

เพื่อให้ Remarketing ประสบความสำเร็จ ควรเริ่มต้นด้วยการแบ่งกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน เช่น แยกตามประเภทอสังหาริมทรัพย์ ช่วงราคา และพฤติกรรมของผู้ใช้งาน จากนั้นพัฒนาโฆษณาที่ตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทย เช่น ใช้ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ แสดงราคาในหน่วยเงินบาท และนำเทศกาลสำคัญอย่างปีใหม่หรือสงกรานต์มาใช้สร้างความเชื่อมโยงที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าเป้าหมาย

การปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่องเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ การทดสอบ A/B เช่น การเปรียบเทียบรูปแบบโฆษณา ข้อความ หรือข้อเสนอพิเศษ จะช่วยให้คุณค้นพบกลยุทธ์ที่ดีที่สุด รวมถึงการกำหนดความถี่ในการแสดงโฆษณาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เช่น 15-20 ครั้งต่อเดือน เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างความรำคาญให้ลูกค้า

คำแนะนำสุดท้าย

Remarketing ไม่ใช่แค่กลยุทธ์การตลาดระยะสั้น แต่เป็นการลงทุนระยะยาวที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า และเพิ่มมูลค่าของธุรกิจในระยะยาว ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มต้นใช้ Remarketing ตั้งแต่วันนี้จะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและบรรลุผลลัพธ์ที่ชัดเจน

เริ่มต้นด้วยเครื่องมือพื้นฐาน เช่น การติดตั้งเครื่องมือติดตามและการทดสอบ A/B ที่กล่าวถึงก่อนหน้า และอย่าลืมปรับปรุงแคมเปญตามผลลัพธ์ที่ได้ การพัฒนาและปรับโมเดล Attribution ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณเข้าใจเส้นทางของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในระยะยาวอย่างมั่นคง

FAQs

Remarketing ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างไรเมื่อเทียบกับการโฆษณาแบบทั่วไป?

Remarketing ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์: เครื่องมือทรงพลังที่ช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขาย

Remarketing กำลังกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะมันมีประสิทธิภาพมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม เหตุผลหลักคือ Remarketing มุ่งเป้าไปยังกลุ่มคนที่เคยแสดงความสนใจในทรัพย์สินของคุณมาก่อน ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขายและยังสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีกว่าเดิม

การทำให้แบรนด์อยู่ในใจของกลุ่มเป้าหมาย

ด้วย Remarketing คุณสามารถทำให้แบรนด์ของคุณยังคงอยู่ในใจของผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือดูประกาศอสังหาริมทรัพย์ของคุณได้ ผ่านโฆษณาที่ปรับแต่งตามพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เช่น การดูทรัพย์สินเฉพาะเจาะจงหรือการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง วิธีนี้ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและกระตุ้นให้ผู้สนใจกลับมาตัดสินใจซื้อหรือเช่าได้ง่ายขึ้น

ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดไทย

การใช้เครื่องมือ Remarketing ยังช่วยให้คุณสามารถติดตามผลลัพธ์ได้อย่างละเอียดและปรับกลยุทธ์โฆษณาให้เหมาะสมกับตลาดในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น:

  • ใช้ข้อความที่เข้าใจและตรงใจผู้บริโภคชาวไทย
  • กำหนดงบประมาณในหน่วยเงินบาท (฿) เพื่อให้เหมาะสมกับการบริหารต้นทุน
  • วางแผนโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมออนไลน์ของคนไทย เช่น การเลือกช่วงเวลาที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงสุด

ด้วยการปรับแต่งเหล่านี้ Remarketing ไม่เพียงช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ แต่ยังช่วยดึงดูดลูกค้ากลับมา สร้างโอกาสให้พวกเขากลายเป็นผู้ซื้อหรือผู้เช่าที่แท้จริงได้ในที่สุด

ควรแบ่งกลุ่มผู้ชมใน Remarketing อย่างไรให้เหมาะสมกับพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทย?

การแบ่งกลุ่มผู้ชมใน Remarketing สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย

การเริ่มต้นแบ่งกลุ่มผู้ชมใน Remarketing สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย ควรเริ่มจากการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างละเอียด เช่น การเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์เฉพาะ อย่างหน้ารายละเอียดโครงการ หรือ การมีส่วนร่วมกับเนื้อหา เช่น การคลิกดูโปรโมชั่น หรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ สิ่งเหล่านี้ช่วยระบุความสนใจของผู้ใช้ได้อย่างชัดเจน และช่วยสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ตรงจุดมากขึ้น

ใช้แพลตฟอร์มที่คนไทยนิยม

แพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook และ LINE เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งสองแพลตฟอร์มนี้มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เช่น การกำหนดตามอายุ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการใช้งาน

ปรับเนื้อหาให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย

การสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ เช่น การนำเสนอโปรโมชั่นในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์หรือปีใหม่ และการใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและเข้าถึงได้ จะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ดียิ่งขึ้น การปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการและความคุ้นเคยของคนไทยนี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและปิดการขายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

Remarketing สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ควรปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนไทยอย่างไรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ?

การปรับกลยุทธ์ Remarketing ให้เข้ากับวัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนไทย

การปรับกลยุทธ์ Remarketing ให้เหมาะกับคนไทยเริ่มต้นจากการสร้างเนื้อหาที่สอดคล้องกับค่านิยมและความสนใจในท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น การใช้ภาษาไทยที่กระชับและเข้าใจง่าย รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นหรือข้อความที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลสำคัญในประเทศไทย เช่น สงกรานต์หรือปีใหม่ไทย วิธีนี้ช่วยสร้างความรู้สึกใกล้ชิดและเชื่อมโยงกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการเลือกแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย เช่น Facebook และ LINE ซึ่งเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคไทยใช้งานเป็นประจำ หากเนื้อหาถูกปรับให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้งาน เช่น การใช้ภาพหรือวิดีโอที่สะท้อนวัฒนธรรมไทย หรือการนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย เช่น รายละเอียดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบที่ดูแล้วเข้าใจได้ทันที ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและสร้างการตอบสนองจากผู้บริโภคได้มากขึ้น

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ