Published Jun 5, 2025 ⦁ 4 min read

เรียนรู้วิธีการจัดสรรงบประมาณ Facebook Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่ม ROAS ในตลาดไทย.

Facebook Remarketing Budget: จัดสรรงบประมาณอย่างไรให้ได้ ROAS สูงสุด

Facebook Remarketing Budget: จัดสรรงบประมาณอย่างไรให้ได้ ROAS สูงสุด

หากคุณต้องการเพิ่มยอดขายและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROAS) ด้วย Facebook Remarketing ในไทย นี่คือสิ่งที่ควรรู้:

  • Facebook มีผู้ใช้งานในไทยกว่า 27 ล้านคนต่อเดือน โดย 90% ใช้งานผ่านมือถือ และ 57% ค้นพบแบรนด์ใหม่ผ่านแพลตฟอร์มนี้
  • Remarketing เพิ่มโอกาสการซื้อสินค้าได้ถึง 70% และลดอัตราการทิ้งตะกร้าสินค้าลง 6.5%
  • ROAS ที่เหมาะสมในตลาดไทยคือ 3:1 ขึ้นไป หมายถึงการลงทุนโฆษณา 1 บาท ควรสร้างรายได้อย่างน้อย 3 บาท
  • ใช้ กฎ 70-20-10 ในการจัดสรรงบ:
    • 70% สำหรับ Prospecting และ Retargeting
    • 20% สำหรับการสร้างการมีส่วนร่วม
    • 10% สำหรับการทดลองและปรับปรุงกลยุทธ์

ตัวชี้วัดสำคัญ เช่น CPM (ค่าเฉลี่ย 110 บาท), CPC (3-10 บาท) และ ROAS ควรติดตามอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงแคมเปญ

เคล็ดลับ:

  • เริ่มต้นด้วยงบรายวัน 200-500 บาท
  • ใช้ Custom Audiences เช่น ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์
  • ปรับโฆษณาให้เหมาะกับเทศกาลหรือวัฒนธรรมไทย เช่น สงกรานต์, ลอยกระทง

ตัวอย่างสำเร็จ:

  • มิสทีน เพิ่มรายได้ 30% ด้วยการปรับงบไปยังแคมเปญที่มีผลลัพธ์ดี
  • Grab Food ลดต้นทุนหาลูกค้าใหม่ลง 42% ด้วยวิดีโอที่ตอบโจทย์ผู้ชมในท้องถิ่น

สรุป: การทำ Facebook Remarketing ในไทยต้องอาศัยทั้งการวางแผนงบประมาณ การปรับเนื้อหาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และการติดตามผลลัพธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่ม ROAS ในระยะยาว

สอนวัดผลโฆษณา Facebook คำนวนต้นทุนค่ายิงเเอด ROAS ยังไง ไม่ให้ขาดทุน?

ROAS คืออะไร และใช้วางแผนงบประมาณอย่างไร

ROAS (Return on Ad Spend) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณา โดยคำนวณจากการนำรายได้ที่ได้จากโฆษณามาหารด้วยค่าใช้จ่ายที่ใช้ไป หาก ROAS สูง แสดงว่าแคมเปญนั้นสามารถทำกำไรได้ดี แต่ถ้าต่ำ อาจต้องพิจารณาปรับกลยุทธ์หรือวางแผนใหม่.

"Return on Ad Spend (ROAS) is one of the most important metrics in digital marketing, providing a clear picture of how effectively your advertising dollars are driving revenue." - Lior Torenberg

การติดตาม ROAS อย่างต่อเนื่องช่วยให้ธุรกิจปรับปรุงแนวทางและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ. สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ROAS เป็นสิ่งสำคัญที่ใช้วัดความคุ้มค่าของโฆษณา เช่น Facebook Ads และยังช่วยกำหนดเป้าหมายในอนาคต.

การตั้งเป้าหมาย ROAS สำหรับตลาดไทย

เมื่อเข้าใจพื้นฐานของ ROAS แล้ว คำถามที่ตามมาคือ จะตั้งเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจในประเทศไทยได้อย่างไร?

สำหรับตลาดไทย ROAS ที่ 3:1 ขึ้นไปถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี หมายความว่าการลงทุนโฆษณา 1 บาท ควรสร้างรายได้อย่างน้อย 3 บาท. อย่างไรก็ตาม เป้าหมาย ROAS ควรปรับให้เหมาะสมกับประเภทสินค้า กลุ่มเป้าหมาย และเงื่อนไขเฉพาะอื่น ๆ. โดยทั่วไป ธุรกิจควรตั้งเป้า ROAS อย่างน้อย 2:1 เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุน.

ในปี 2024 ข้อมูลสำหรับ Facebook Ads ในไทยระบุว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการเข้าถึง 1,000 คน (CPM) อยู่ที่ 110 บาท และต้นทุนต่อการดู (CPV) อยู่ที่ 3.94 บาท. สำหรับแคมเปญที่มุ่งเน้นการแปลง อัตราการแปลงเฉลี่ยอยู่ที่ 0.09% และต้นทุนต่อการแปลงเฉลี่ยอยู่ที่ 595 บาท.

กฎ 70-20-10 สำหรับการจัดสรรงบประมาณ

แนวทาง 70-20-10 เป็นหลักการที่ช่วยจัดการงบประมาณโฆษณาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะในบริบทของตลาดไทย:

  • 70% สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง: งบประมาณส่วนใหญ่ควรใช้กับแคมเปญ Prospecting (45-65%) และ Retargeting (20-30%) ซึ่งโฆษณาแบบ Retargeting สามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้ถึง 70% เมื่อเทียบกับกลุ่มเป้าหมายใหม่.
  • 20% สำหรับแคมเปญที่เน้นการมีส่วนร่วม: เหมาะสำหรับ Remarketing campaigns (10-25%) ที่ช่วยดึงดูดลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ผู้ใช้งาน Facebook ส่วนใหญ่นิยมใช้งานผ่านสมาร์ทโฟน.
  • 10% สำหรับการทดสอบและปรับปรุง: งบส่วนนี้ควรใช้ในการทดลองและปรับปรุงกลยุทธ์ เช่น การลองกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเริ่มต้นด้วยงบประมาณรายวัน 200-500 บาท เพื่อดูผลลัพธ์ก่อนขยายขนาด.

การใช้หลักการนี้ช่วยให้การจัดสรรงบประมาณมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวตามผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

วิธีจัดสรรงบประมาณ Facebook Remarketing

การจัดสรรงบประมาณสำหรับ Facebook Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยเพิ่ม ROI ได้ โดยควรแบ่งงบประมาณออกเป็นหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น การสร้างเนื้อหา, การโปรโมต, การใช้เครื่องมือเทคโนโลยี และการทดลองกลยุทธ์ใหม่ ๆ.

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ มิสทีน ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้ได้มากกว่า 30% พร้อมกับมูลค่าการสั่งซื้อเฉลี่ยที่สูงขึ้นถึง 65% โดยการปรับเปลี่ยนงบประมาณจากแคมเปญที่ผลลัพธ์ต่ำไปยังแคมเปญที่มีประสิทธิภาพสูง.

วางงบประมาณตามกลุ่มเป้าหมายที่พร้อมซื้อ

การจัดสรรงบประมาณควรพิจารณาขั้นตอนการตัดสินใจของลูกค้า กลุ่มที่อยู่ในขั้นตอนการตัดสินใจซื้อ (ประมาณ 25-35%) ควรเน้นการใช้โฆษณาที่มีคำหลักเจาะจงและกรณีศึกษาที่สร้างความมั่นใจ ส่วนกลุ่มที่อยู่ในขั้นตอนพิจารณา (ประมาณ 30-40%) ควรลงทุนในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น SEO, การตลาดเนื้อหา, การส่งอีเมลเพื่อบำรุงความสนใจ, Retargeting และการจัดเว็บบินาร์.

Ninja Van ผู้ให้บริการโลจิสติกส์จากสิงคโปร์ เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้กลยุทธ์นี้ บริษัทสามารถลดต้นทุนต่อลีดคุณภาพลง 47% และเพิ่มอัตราการแปลงลีดเป็นโอกาสขายขึ้น 36% โดยการใช้แนวทางการตลาดแบบกรวยหลายขั้นตอน.

อีกวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพคือการใช้ระบบอัตโนมัติแบบกำหนดกฎเกณฑ์ (rule-based automation) เพื่อหยุดโฆษณาที่ไม่ได้ผลและเพิ่มงบประมาณให้กับแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ Facebook ในประเทศไทยยังคงมีต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้.

การจัดสรรงบสำหรับการมีส่วนร่วมและการทดลอง

สำหรับการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มสนใจ เช่น ผู้ชม Lookalike และผู้ที่ดูวิดีโอ ควรจัดสรรงบประมาณ 10-20% สำหรับการทดลองครีเอทีฟใหม่ ๆ และตำแหน่งโฆษณาต่าง ๆ.

ในชั้นการสร้างการรับรู้ (Awareness Stage: 25-35%) ควรเน้นการใช้ช่องทางอย่างโฆษณาโซเชียลมีเดีย, โฆษณาแสดงผล และการตลาดผ่านวิดีโอ ขณะที่ในชั้นการรักษาความสัมพันธ์และการส่งเสริมการแนะนำ (Retention/Advocacy Stage: 10-20%) ควรเน้นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับลูกค้า.

ตัวอย่างที่น่าสนใจอีกตัวคือ Grab Food จากมาเลเซีย ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยการสร้างวิดีโอเนื้อหาที่ปรับให้เข้ากับผู้ชมในท้องถิ่น ส่งผลให้อัตราการมีส่วนร่วมสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึง 3.8 เท่า และลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ลง 42% เมื่อเทียบกับแคมเปญโปรโมชันทั่วไป.

การใช้กลยุทธ์เพิ่มงบประมาณในแคมเปญที่ได้ผล (vertical scaling) และการขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ (horizontal scaling) ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง การทดลองและปรับขนาดงบประมาณในสองแนวทางนี้ยังช่วยเพิ่ม ROAS ได้ในระยะยาว.

การแบ่งกลุ่มเป้าหมายสำหรับแคมเปญไทย

การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทยถือเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณา (ROAS) เพราะลักษณะเฉพาะของตลาดไทยมีความแตกต่างจากที่อื่น ๆ อย่างชัดเจน จากการวิจัยพบว่า 61% ของผู้บริโภคไทยคาดหวังให้แบรนด์ปรับการสื่อสารให้เหมาะสมกับพฤติกรรมและความชอบของพวกเขา ดังนั้น การสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคไทยจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

การใช้ Custom Audiences ที่เหมาะกับตลาดไทย

การใช้ Custom Audiences ช่วยเพิ่มอัตราการแปลงได้ถึง 70% เมื่อเทียบกับการโฆษณาไปยังกลุ่มใหม่ โดยควรมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพสูง เช่น:

  • ผู้ใช้ LINE Official Account: LINE เป็นช่องทางการสื่อสารหลักของคนไทย การใช้ข้อมูลจาก LINE OA จึงช่วยสร้างกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มซื้อสูง
  • นักช็อปใน e-commerce: ตลาด e-commerce ในไทยมีมูลค่ากว่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีผู้ใช้งานประมาณ 43.5 ล้านคน การใช้ข้อมูลลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถช่วยสร้าง Lookalike Audience ที่ตรงเป้าหมาย
  • ผู้เข้าร่วมเทศกาลท้องถิ่น: งานสำคัญอย่างสงกรานต์ ลอยกระทง หรืองานวัด เป็นโอกาสดีในการรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้าง Custom Audience ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทย

ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ แบรนด์สุขภาพชั้นนำในประเทศไทยที่เคยปรับข้อความโฆษณาในช่วงวันแม่แห่งชาติ โดยใช้ภาษาถิ่นและข้อเสนอเฉพาะบุคคล ส่งผลให้การมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นถึง 40% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการปรับโฆษณาให้เข้ากับวัฒนธรรมและพฤติกรรมเฉพาะของผู้บริโภคไทยสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างชัดเจน

การปรับโฆษณาให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย

การทำโฆษณาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ไม่ควรมองข้าม โฆษณาที่ใช้ภาษาไทยมักได้ผลตอบรับที่ดีกว่า และแคมเปญที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญ เช่น สงกรานต์หรือลอยกระทง สามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคได้ถึง 40%

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ได้ผลดีคือการใช้ภาษาถิ่นในแต่ละภูมิภาค เนื่องจากแต่ละพื้นที่ในประเทศไทยมีเอกลักษณ์ทางภาษาที่แตกต่างกัน การปรับข้อความให้เหมาะสมกับภูมิภาคนั้น ๆ ช่วยสร้างความใกล้ชิดกับผู้บริโภคและเพิ่มอัตราการตอบสนองได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ วันหยุดและเทศกาลไทยยังเป็นช่วงเวลาทองสำหรับการเพิ่ม ROAS การจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับช่วงเวลาเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ

sbb-itb-4ffe5b5

กลยุทธ์การเสนอราคาและการติดตามผลการดำเนินงาน

การเลือกกลยุทธ์การเสนอราคาที่เหมาะสมและการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องถือเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) สำหรับแคมเปญ Facebook Remarketing ในประเทศไทย ระบบการเสนอราคาของ Facebook ช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของงบประมาณโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับกลยุทธ์การเสนอราคาตาม ROAS

การตั้งเป้าหมาย ROAS (ผลตอบแทนจากการใช้จ่ายโฆษณา) เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับการทำ Remarketing ในตลาดไทย โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคลิก (CPC) ในไทยอยู่ที่ประมาณ ฿3–฿10 และค่าใช้จ่ายต่อพันการแสดงผล (CPM) อยู่ที่ ฿50–฿150 ซึ่งแตกต่างกันตามประเภทอุตสาหกรรม ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการจัดสรรงบประมาณได้อย่างสมเหตุสมผล

เริ่มต้นด้วยงบประมาณขนาดเล็กเพื่อทดสอบแคมเปญ และขยายงบประมาณเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ดี หากโฆษณามี ROAS เป็นบวก การเพิ่มงบประมาณจะช่วยขยายผลลัพธ์ได้ แต่หากต้นทุนต่อผลลัพธ์สูงขึ้นโดยไม่มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหรือเนื้อหาโฆษณา

ตัวชี้วัดสำคัญสำหรับการติดตามผล

เมื่อกำหนดกลยุทธ์การเสนอราคาแล้ว การติดตามผลลัพธ์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อวัดประสิทธิภาพ ตัวชี้วัดหลักที่ควรให้ความสนใจ ได้แก่ จำนวนการแสดงผล, การเข้าถึง, จำนวนคลิก, อัตราการคลิกผ่าน (CTR), ต้นทุนต่อคลิก (CPC), อัตราการแปลง และ ROAS

สำหรับธุรกิจในไทย การใช้ข้อความใน Facebook Inbox เป็นช่องทางที่มีอัตราการแปลงสูง ตัวอย่างเช่น ธุรกิจเสื้อผ้าโยคะ ibuyyoga ใช้ข้อความใน Inbox เป็นตัวชี้วัด และสามารถสร้าง ROAS ได้ถึง 4.5 เท่า หรือธุรกิจ Kowa CCTV ที่เพิ่มยอดขายออนไลน์ขึ้น 33% ด้วยวิธีเดียวกัน.

การใช้เครื่องมืออย่าง Facebook Ads Manager ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและวิเคราะห์ตัวชี้วัดเหล่านี้ได้อย่างละเอียด เพื่อปรับปรุงและปรับแต่งแคมเปญให้สอดคล้องกับเป้าหมาย

การปรับงบประมาณตามเทศกาลในไทย

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่ม ROAS คือการปรับงบประมาณโฆษณาให้เหมาะสมกับช่วงเทศกาลและพฤติกรรมผู้บริโภคในไทย ซึ่งมักเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลและวันหยุดสำคัญ

ในช่วงเทศกาลอย่างสงกรานต์หรือกลางปี มักพบว่าการมีส่วนร่วมกับโฆษณาและยอดขายเพิ่มขึ้น บางแคมเปญที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมเหล่านี้อาจเห็นการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นถึง 40% ในช่วงเวลาดังกล่าว ในทางกลับกัน ช่วงวันหยุดที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาหรือเทศกาลตรุษจีน ซึ่งการใช้จ่ายมักลดลง ธุรกิจอาจต้องปรับลดงบประมาณให้เหมาะสม.

สรุป: ขั้นตอนสำคัญสำหรับ ROAS สูงสุดในการทำ Remarketing ไทย

การจัดสรรงบประมาณสำหรับ Facebook Remarketing อย่างมีประสิทธิภาพเป็นเรื่องของการวางแผนที่ดีและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นด้วยงบประมาณรายวันประมาณ ฿200–฿500 เพื่อทดสอบกลุ่มเป้าหมายและประเมินผล

เน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสซื้อสูง เช่น ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์หรือมีปฏิสัมพันธ์กับโพสต์บน Facebook และ Instagram โฆษณา Retargeting สามารถเพิ่มอัตราการแปลงได้มากถึง 70% และอย่าลืมปรับแต่งโฆษณาให้เหมาะกับการใช้งานผ่านมือถือ เพราะกว่า 90% ของผู้ใช้ Facebook ในไทยเข้าผ่านสมาร์ทโฟน วิดีโอโฆษณาควรมีความยาวเพียง 6-15 วินาที พร้อมคำบรรยาย และใช้คำที่ดึงดูดความสนใจ เช่น "ฟรี" "พิเศษ" หรือ "ด่วน" ในเนื้อหาภาษาไทย

ติดตามตัวชี้วัดสำคัญ เช่น CTR (ควรอยู่ที่ 1-2%), CPC (ประมาณ ฿3-฿10), และตั้งเป้าหมาย ROAS ไว้ที่อย่างน้อย 4:1 การติดตามผลเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับปรุงแผนการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ

"People prefer to see ads that are relevant to them. And when businesses show their ads to relevant audiences, they see better business outcomes. That's why we consider how relevant each ad is to a person before delivering an ad to that person." - Facebook

เมื่อคุณเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่เป็นบวกจาก ROAS ให้ค่อย ๆ ขยายงบประมาณขึ้นทีละ 20-30% ต่อสัปดาห์ พร้อมกับการทดสอบ A/B เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้บริโภคในไทย

อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในไทยคือการใช้ Messenger Ads ซึ่งช่วยให้คุณสามารถสื่อสารและให้บริการลูกค้าแบบเรียลไทม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำ Remarketing ให้ประสบความสำเร็จในไทยนั้นต้องอาศัยทั้งการใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาดและการเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง

FAQs

กฎ 70-20-10 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณสำหรับ Remarketing บน Facebook อย่างไร?

การใช้กฎ 70-20-10 ในการจัดสรรงบประมาณ Remarketing บน Facebook

กฎ 70-20-10 เป็นแนวทางที่ช่วยจัดสรรงบประมาณสำหรับ Remarketing บน Facebook ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งงบออกเป็น 3 ส่วนหลัก ดังนี้:

  • 70%: ลงทุนในกลยุทธ์ที่เคยพิสูจน์แล้วว่าได้ผลลัพธ์ดี เพื่อรักษาความมั่นคงและผลลัพธ์ที่คาดหวัง
  • 20%: ใช้สำหรับทดลองกลยุทธ์ใหม่ที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนสูง
  • 10%: จัดสรรเพื่อทดสอบแนวคิดใหม่ ๆ ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์

การจัดสรรงบในลักษณะนี้ช่วยให้คุณสามารถสร้างสมดุลระหว่างการรักษาผลลัพธ์ที่ดีในปัจจุบันกับการมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในอนาคต นอกจากนี้ยังช่วยให้แคมเปญของคุณปรับตัวเข้ากับตลาดในประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม พร้อมทั้งปรับเปลี่ยนตามผลลัพธ์ที่ได้รับเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในระยะยาว

การปรับโฆษณาให้เหมาะกับวัฒนธรรมไทยช่วยเพิ่ม ROAS ได้อย่างไร?

การปรับโฆษณาให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยเพื่อเพิ่ม ROAS

การออกแบบโฆษณาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมไทยสามารถช่วยสร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งกับผู้บริโภคในประเทศไทยได้อย่างมาก การเลือกใช้ภาพหรือข้อความที่สะท้อนถึงประเพณี วัฒนธรรม และค่านิยมที่คนไทยคุ้นเคย เช่น การนำเสนอเทศกาลสำคัญอย่างสงกรานต์ ลอยกระทง หรือการใช้สัญลักษณ์ที่สื่อถึงความเป็นไทย เช่น ช้าง ดอกบัว หรืออาหารไทย สามารถทำให้โฆษณาดูมีความหมายและสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภคได้ทันที

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการใช้ภาษาไทยที่เป็นธรรมชาติ รวมถึงการปรับสำเนียงหรือคำพูดให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค เช่น การใช้คำท้องถิ่นในภาคเหนือหรืออีสาน สิ่งนี้ช่วยให้แบรนด์ดูใกล้ชิดและเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือความรู้สึกเป็นกันเองและความไว้วางใจ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคตอบสนองต่อโฆษณาได้ดีขึ้น

การปรับเนื้อหาให้เข้ากับวัฒนธรรมไทยจึงไม่ใช่แค่การแปลภาษา แต่เป็นการเข้าใจและสะท้อนความรู้สึกของผู้บริโภคไทยอย่างแท้จริง กลยุทธ์นี้สามารถยกระดับประสิทธิภาพโฆษณาในตลาดไทยได้อย่างชัดเจน และช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนในโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

ทำไมการใช้ Custom Audiences ถึงสำคัญสำหรับการทำ Facebook Remarketing ในประเทศไทย?

การใช้ Custom Audiences ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Facebook Remarketing ในประเทศไทย เพราะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเยี่ยมชมเว็บไซต์ การเพิ่มสินค้าในตะกร้า หรือการมีส่วนร่วมกับโพสต์บน Facebook

ข้อมูลเหล่านี้เปิดโอกาสให้ธุรกิจสร้างโฆษณาที่ตอบโจทย์และดึงดูดใจลูกค้าได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ที่สนใจให้กลายเป็นลูกค้าจริง นอกจากนี้ ยังช่วยให้การใช้งบโฆษณาเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเหมาะสมกับพฤติกรรมของตลาดในประเทศไทยอีกด้วย

venuee performance marketing agency team
ต้องการเพิ่มยอดขาย?
ให้เราช่วยประเมินและวางแผนการตลาด เพื่อปรับ ROI ให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ